การเลือกอาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID TAG SELECTION)

  • คลื่นความถี่   ระบบอาร์เอฟไอดี (RFID System) ทำงานด้วยคลื่นวิทยุ  ที่ใช้ในการสื่อสารกันระหว่างเครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader) และอาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag)   เครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader) เปรียบเสมือนสถานีวิทยุที่ทำการส่งคลื่นความถี่วิทยุออกมา  ในขณะที่เครื่องวิทยุของเราก็เหมือนอาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag)   การที่จะทำให้สถานีวิทยุสามารถสื่อสารกับวิทยุของเราได้  ก็จำเป็นต้องมีคลื่นความถี่เดียวกัน  ในกรณีของอาร์เอฟไอดี (RFID System) ก็เช่นเดียวกัน   จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องทราบว่าเครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader) ใช้คลื่นความถี่อะไร   เพื่อที่จะได้เลือกอาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag) ที่อยู่ในความถี่เดียวกัน   ในปัจจุบันคลื่นวิทยุที่ใช้ในระบบอาร์เอฟไอดี (RFID System)  จะมีสามคลื่นความถี่ประกอบด้วย
    • Low Frequency (LF) อยู่ในช่วง 30-300 kHz
    • High Frequency (HF) อยู่ในช่วง 3-30 MHz
    • Ultra High Frequency (UHF) อยู่ในช่วง 300-3000 MHz

คลื่นความถี่ของเครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader) จะเป็นตัวกำหนดอาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag) ที่จะเลือกใช้  ตัวอย่างเช่น  ในกรณีที่ผู้ผลิตจะต้องติดอาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag) สำหรับสินค้าของตนที่ส่งออกไปที่ Walmart  อาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag) ที่ต้องใช้  คือ อาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag)  ที่ทำงานในช่วงคลื่น UHF ระหว่าง 902-928 MHz เพราะเครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader) ใช้งานในที่ Walmart ใช้คลื่นความถี่ดังกล่าว

นอกเหนือจากคลื่นความถี่  อีกปัจจัยที่ต้องคำนึงถึงคือมาตรฐานในการส่งข้อมูล (Air Interface Protocol) ระหว่างอาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag) และเครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader)   ในกรณีของการทำงานในคลื่น UHF มาตรฐานกลางที่ใช้ได้แก่  EPC C1G2  เป็นต้น  เพื่อให้เครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader) และอาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag)  สามารถสื่อสารกันได้  จำเป็นต้องมีมาตรฐานดังกล่าวเป็นมาตรฐานเดียวกัน  หรือกรณีอาร์เอฟไอดี (RFID) ในช่วงคลื่นความถี่ 13.56 Mhz.  ประกอบมาตรฐาน ISO14443A,  ISO14443B, ISO14443C และ ISO15693 เป็นต้น  จำเป็นอย่างยิ่งต้องเลือกอาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag) และเครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader) ที่มาตรฐานเดียวกัน  

  • ระยะการอ่าน   ระยะการอ่านหมายถึง  ระยะทางระหว่างเครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader)  และอาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag) สามารถที่จะสื่อสารกันได้ ปัจจัยดังกล่าวมีผล อย่างมากต่อระบบอาร์เอฟไอดี (RFID System) ที่ทำงานในคลื่นความถี่ UHF เนื่องจากการสื่อสารระหว่างเครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader) และอาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag) ในคลื่นดังกล่าวมีระยะการอ่านที่หลากหลายมาก  ตั้งแต่ระยะการ 1-2 ซม  จนถึง 5-6 เมตร  ซึ่งอาร์เอฟไอดี แท๊ก (RFID Tag) แต่ละประเภทจะส่งผลการอ่านไม่เท่ากัน   ถึงแม้ว่าจะทำงานในคลื่นความถี่เดียวกัน  และในมาตรฐานเดียวกันก็ตาม  เพราะว่าความสามารถหรือระยะในการอ่านเกิดจากรูปแบบเสาอากาศที่อยู่ในอาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag)  ดังนั้นจึงจำเป็นต้องเลือกอาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag) ที่สามารถสื่อสารกับเครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader) ได้ในระยะที่ระบบต้องการ      
  • สภาพแวดล้อมที่ติดอาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag) พื้นผิววัสดุที่ติดอาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag) มีผลอย่างมากต่อการทำงานของอาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag)  องค์ประกอบที่จะต้องคำนึงถึงประกอบด้วยลักษณะการใช้งานของอาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag)  หากการใช้งานเป็นลักษณะกลางแจ้ง  อาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag) ที่เลือกควรได้รับการออกแบบให้สามารถทนทานต่อการใช้งานกลางแจ้ง  อาร์เอฟไอดีสติกเกอร์ (RFID Label) อาจจะไม่สามารถทำงานในสภาพดังกล่าวได้ นอกจากนั้นจำเป็นต้องคำนึงถึงอุณหภูมิในการทำงานในบางกรณีต้องผ่านความร้อนสูง  ดังนั้นควรจะเลือกอาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag) ที่สามารถทำงานในอุณหภูมิความร้อนสูงได้  มิฉะนั้นแล้วความร้อนอาจทำให้ IC ชิป หรือเสาอากาศของอาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag) เสียหายได้   ในท้ายที่สุดคือสภาพแวดล้อมที่ใช้งานรบกวนการส่งคลื่นวิทยุหรือไม่  โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้งานในสภาพแวดล้อมที่มีความชื้นสูง และสภาพแวดล้อมที่เป็นโลหะ  ทั้งความชื้นและโลหะมีผลการต่อส่งคลื่นวิทยุ  โดยความชื้นจะทำการดูดซึบคลื่นวิทยุ  ในขณะที่โลหะจะหักเหคลื่นวิทยุ  ดังนั้นควรจะเลือกอาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag) ที่สามาถทำงานบนสภาพดังกล่าวได้  ในกรณีที่นำอาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag) ไปติดบนกล่องพลาสติก อาร์เอฟไอดีแท๊ก ธรรมดาที่เป็นสติกเกอร์ (RFID Label) สามารถใช้งานได้  ในทางตรงกันข้ามหากการใช้อาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag) บนสภาพแวดล้อมที่เป็นโลหะ อาร์เอฟไอดีแท๊กแบบสติกเกอร์ (RFID Label) ก็ไม่สามารถที่จะทำงานได้  ในกรณีดังกล่าวจึงจำเป็นต้องอาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag) ที่ได้รับออกแบบเป็นพิเศษที่สามารถติดบนโลหะและทำงานได้เป็นต้น
  • ข้อมูลจากอาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag)  ตามที่ทราบอาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag) เป็นส่วนที่ส่งข้อมูลเข้าสู่ระบบโดยผ่านเครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader)  โดยข้อมูลที่กล่าวถึงนี้ประกอบด้วยข้อมูลสองประเภทได้ ข้อมูลที่บันทึกเข้าไปใน IC ชิปของอาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag) และข้อมูลที่จำเป็นต้องมองเห็น ข้อมูลที่อาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag) ส่งให้เครื่องอ่านจะเป็นข้อมูลที่บันทึกใน IC ชิป  ดังนั้นอาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag) ที่เลือกจำเป็นต้องมีขนาดความจำใน IC ชิปที่เพียงพอต่อความต้องการของระบบ  การใช้งานในบางกรณีผู้ใช้งานต้องการให้บันทึกข้อมูลเป็นที่เป็นรหัสสากลต่าง ๆ  เช่น  Serialized Global Trade Item Number (SGTIN) หรือ  EPC Global Standard เป็นต้น  ในการบันทึกรหัสดังกล่าว  หน่วยความจำในอาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag)  96 bits ก็น่าจะเพียงพอ  อย่างไรก็ตามในบางอุตสาหกรรมเช่นอุตสาหกรรมการบิน  จำเป็นต้องมีบันทึกข้อมูลมากขึ้น  ดังนั้นอาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag) ที่เลือกใช้ก็ต้องมีหน่วยความจำมากขึ้นตามไปด้วย

นอกจากข้อมูลที่บันทึกลงไปในอาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag) แล้ว  การเลือกใช้อาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag)  จำเป็นต้องคำนึงข้อมูลที่ผู้ใช้งานต้องการมองเห็นด้วย  เช่น  บาร์โค้ด  ในกรณีที่ต้องการใช้งานเป็นการใช้ร่วมกันระหว่างเทคโนโลยีอาร์เอฟไอดี (RFID Technology) และเทคโนโลยีบาร์โค้ด  อาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag)  ที่เลือกจำเป็นต้องรองรับทั้งสองเทคโนโลยี  อาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag) ที่เลือกจำเป็นต้องสามารถพิมพ์รหัสบาร์โค้ดด้วย  โดยปกติแล้วอาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag) ที่เป็นสติกเกอร์จะรองรับการพิมพ์อยู่แล้ว  ผู้ใช้งานสามารถที่จะพิมพ์รหัสบาร์โค้ดไปบนอาร์เอฟไอดีสติกเกอร์ (RFID Label) ได้  ด้วยเครื่องพิมพ์สติกเกอร์  แต่ถ้าเป็นอาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag) รูปแบบอื่น เช่น RFID Hard Tag เป็นต้น  อาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag) ลักษณะนี้ไม่สามารถที่จะพิมพ์ ด้วยเครื่องพิมพ์ได้  อาจจะต้องใช้เทคโนโลยี อื่นในการพิมพ์บาร์โค้ด  เช่นการยิงเลเซอร์ เป็นต้น 

  • ขนาดของอาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag)  พื้นที่ที่อาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag) จะติดเป็นอีกปัจจัยที่จะต้องคำนึงถึง  ตัวอย่างเช่นหากนำอาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag) ไปติดบนรถขนสินค้า ก็จะไม่มีข้อจำกัดเรื่องขนาดของอาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag)  อาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag) จะมีขนาดเท่าใดก็ได้  เพียงแค่ทำงานได้ตามที่ระบบต้องการ  ในทางตรงกันข้ามหากนำอาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag)  ไปติดบนอุปกรณ์การแพทย์  หรือเครื่องมือช่างต่าง ๆ  ขนาดของอาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag) ก็จำเป็นต้องมีขนาดเล็ก  เพราะอุปกรณ์เหล่ามีพื้นที่จำกัด  อย่างไรก็ตามอาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag) ที่มีขนาดเล็กลง  ก็จะมีผลทำให้ระยะการอ่านสั้นลงไปด้วย 
  • วิธีการยึดติดอาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag)  การติดอาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag) กับอุปกรณ์หรือชิ้นงานต่าง ๆ มีรูปแบบอย่างไรบ้าง    โดยทั่วไปการติดอาร์เอฟไอดีแท๊ก มีรูปแบบต่าง ๆ ดังต่อไปนี้
    • การรัดด้วย Cable Ties  การใช้ Cable Ties รัดจะรูปแบบที่ง่ายและรวดเร็ว  อาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag) ที่ยึดติดแบบนี้  จะมีสาย Cable  ในตัว  วัตถุประสงค์ของอาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag) ประเภทนี้นอกเหนือจากการยึดติด  ยังมีวัตถุประสงค์เพื่อความปลอดภัยอีกด้วย
    • การฝังเข้าไปในอุปกรณ์ที่จะติด  อาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag)  ประเภทนี้จะฝังเข้าไปชิ้นงานหรืออุปกรณ์ที่จะติดเลย 
    • การยึดติดด้วยกาว  การติดด้วยกาวเป็นวิธีพื้นฐานในการติดอาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag) มีการใช้การยึดติดแบบนี้สำหรับสินค้าทั่วไป  อย่างไรก็ตามปัจจุบันมีการพัฒนากาวที่ใช้ติดไปค่อนข้างมาก  มีการนำกาวอุตสาหกรรมมาใช้ในการยึดติด ทำให้อาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag) ที่ยึดติดด้วยกาวอุตสาหกรรม  สามารถนำไปใช้ในภาคอุตสาหกรรมตามไปด้วย จากเดิมที่เคยใช้ได้เฉพาะสินค้าทั่วไป 
    • การยึดติดด้วยการยึดด้วยตะปู   ในกรณีที่ต้องการให้การยึดติดอาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag) มีความแน่นหนา  เพื่อการใช้งานอย่างถาวร  อาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag)  บางประเภทมีการออกแบบให้รูเพื่อการยึดติดด้วยตะปู เป็นต้น
    • การเชื่อม อาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag) บางประเภทออกแบบมาให้ยึดติดด้วยการเชื่อมเพื่อความแน่นหนา  โดยปกติแล้ว อาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag) ประเภทนี้จะใช้งานสำหรับการยึดติดที่เป็นภาคอุคตสาหกรรมหรือเครื่องจักรต่าง เป็นต้น

สรุป  ในปัจจุบันอาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag) มีค่อนข้างหลากหลายประเภท  ดังนั้นจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเลือกอาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag) ที่เหมาะสมการลักษณะการทำงาน เพื่อให้ระบบอาร์เอฟไอดี (RFID Reader) ที่ใช้งานสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

NFC คืออะไร

NFC คืออะไร

                 Near Field Communication (NFC) เป็นการผสมผสานกันระหว่างเทคโนโลยีการส่งข้อมูลแบบไร้สาย และเทคโนโลยีการเชื่อมต่อกันระหว่างอุปกรณ์  เทคโนโลยีไร้สายที่นำมาใช้ใน NFC คือเทคโนโลยีอาร์เอฟไอดี (RFID) ใช้คลื่นความถี่ 13.56 Mhz.  ซึ่งเทคโนโลยี NFC จะรองรับกับเทคโนโลยีอาร์เอฟไอดีตามรายละเอียดด้านล่าง

NFC Forum PlatformRFID Compatible
NFC Forum Type 1 tagInnovision Topaz
NFC Forum Type 2 tagMifare UltralightMifare Ultralight C
NFC Forum Type 3 tagSony Felica
NFC Forum Type 4 tagDESfireSmartMX

Source: NFC Forum Type Tags

 เทคโนโลยี NFC นี้ช่วยให้การสื่อสารระหว่างอุปกรณ์สามารถทำได้ง่ายขึ้น  ต่างจากเทคโนโลยีไร้สายประเภทอื่น ได้แก่ Wifi หรือ Bluetooth ที่ต้องมีตั้งค่าต่าง ๆ ก่อนการใช้งาน  แต่เทคโนโลยี NFC เพียงแค่นำอุปกรณ์มือถือ เช่น โทรศัพท์ ไปใกล้กับเครื่องอ่านหรืออาร์เอฟไอดีการ์ด (RFID tag) ก็สามารถที่จะทำการส่งข้อมูลระหว่างกันได้เลย  โดยไม่จำเป็นต้องมีการตั้งค่าใดใดก่อนการใช้งาน  การใช้งานเทคโนโลยี NFC  มีได้สามลักษณะ  ได้แก่   

1. ทำงานเป็นอาร์เอฟไอดีการ์ด (RFID Tag)  อุปกรณ์มือถือ เช่นโทรศัพท์มือถือที่มีเครื่องอ่าน NFC ฝังอยู่สามารถทำงานเป็น RFID tag ได้  ซึ่งต่างจากเครื่องอ่านอาร์เอฟไอดีในปัจจุบันที่ทำหน้าที่เป็นเครื่องอ่านเพียงอย่างเดียว การทำงานในลักษณะนี้ส่วนใหญ่จะใช้ใน Application ในเรื่องการเงิน เช่น การจ่ายเงินชำระค่าผ่านทาง  การจ่ายเงินตาม POSต่าง ๆ เพียงแค่นำโทรศัพท์มือถือไปใกล้กับเครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี  ที่ติดตั้งไว้ที่จุดชำระเงิน  ก็สามารถทำการชำระเงินได้ แทนการชำระเงินด้วยบัตรอาร์เอฟไอดี  หรือเงินสด

2. ทำงานเป็นเครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader) อุปกรณ์มือถือ เช่นโทรศัพท์มือถือที่มีเครื่องอ่าน NFC ฝังอยู่  สามารถทำงานเป็นเครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี  เมื่อต้องการอ่านข้อมูลจากอาร์เอฟไอดีการ์ด (RFID Tag)  เช่น การใช้งานในลักษณะ Smart Posterเป็นต้น  โดยที่โปสเตอร์จะมีอาร์เอฟไอดีสติกเกอร์ (RFID Sticker)  เมื่อต้องการอ่านข้อมูลจาก RFID Sticker  เพียงแค่นำโทรศัพท์มือถือที่มีเครื่องอ่านไปอ่านอาร์เอฟไอดีสติกเกอร์บนโปรเตอร์  ข้อมูลในโปสเตอร์ก็จะปรากฏขึ้นมาบนโทรศัพท์มือถือ

3. การสื่อสารในลักษณะ Pier to Pier (P2P)   เครื่องอ่าน NFC สองเครื่องสามารถที่จะติดต่อสื่อสารกันโดยตรงได้ เมื่อต้องการส่งข้อมูล  ตัวอย่างเช่น โทรศัพท์มือถือสองเครื่องที่มีฟังก์ชัน NFC สามารถที่จะส่งข้อมูลให้แก่กันได้โดยตรง   เพียงนำโทรศัพท์ทั้งสองเครื่อง  เข้ามาใกล้กันในระยะที่เครื่องอ่านที่อยู่ในโทรศัพท์ทั้งสองสามารถอ่านกันได้  ก็สามารถที่จะส่งข้อมูลถึงกันได้  โดยไม่ต้องผ่านเครือข่ายของโทรศัพท์มือถือ  ไม่ว่าจะเป็น GPRS หรือ EDGE เป็นต้น

                   ถึงแม้ว่าเทคโนโลยีNFC จะได้รับการกล่าวถึงเป็นอย่างมากในปัจจุบัน  แต่อุปกรณ์มือถือที่รองรับเทคโนโลยี NFC ยังมีอยู่อย่างจำกัด  ดังนั้นในช่วงการเปลี่ยนผ่านจึงมีการพัฒนาเทคโนโลยีต่าง ๆ ขึ้นมาเพื่อรองรับกับเทคโนโลยี NFC  ที่กำลังจะเกิดขึ้น   ตัวอย่างเช่น  เทคโนโลยี SIM Card + เสาอากาศ  เป็นการต่อเสาอากาศเพิ่มจาก SIM Card ของโทรศัพท์มือถือ  ได้แก่ SIMpass, N-Flex เป็นต้น  ซึ่งเทคโนโลยีเหล่านี้  ใช้อาร์เอฟไอดีคลื่นความถี่ 13.56 Mhz เหมือนกับเทคโนโลยี NFC   เทคโนลียีนี้มีการใช้อย่างแพร่หลายในประเทศจีน                                                  

                    เทคโนโลยีอีกประเภทคือ การติดอาร์เอฟไอดีการ์ด (RFID Tag) หรือสติกเกอร์บนโทรศัพท์มือถือ  (ดูเพิ่มเติมใน ช่วยlink ไปที่ web เราในส่วน Tag ที่มี  product  mobile phone tag)  จากเดิมที่อาร์เอฟไอดีสติกเกอร์(RFID Tag)ไม่สามารถที่จะทำงานบนผิวโลหะได้  ปัจจุบันเทคโนโลยีอาร์เอฟไอดีสติกเกอร์ (RFID Tag) มีการพัฒนาให้สามารถทำงานบนผิดโลหะได้  และมีขนาดเล็กและบาง  เพื่อรองกับSmart Phone ที่มีพื้นผิวเป็นโลหะ  เช่น Blackberry เป็นต้น  

NFC Application

คุณลักษณะสำคัญของอาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag) สำหรับงานอุตสาหกรรม

ปัจจุบันมีการนำอาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag) มาใช้งานในภาคอุตสาหกรรมมากขึ้น   อาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag) ที่จะนำมาใช้งานในด้านนี้  นอกเหนือจากปัจจัยพื้นฐาน ได้แก่  คลื่นความถี่  มาตรฐานคลื่นวิทยุ   หน่วยความจำ  รูปแบบของอาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag)  และวิธีการติดอาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag) เป็นต้น   จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องคำนึงความคงทนของ อาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag)  เช่น อาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag) ที่ทนต่อสารเคมี  ความร้อนสูง  หรือ ป้องกันการติดไฟ  เป็นต้น  เนื่องจากว่า การนำอาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag) มาใช้ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ที่ต้องการความทนทานสูงนั้น  เช่นอุตสาหกรรมก่อสร้าง   พลังงาน  หรือการขนส่ง  เป็นต้น    จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องคำนึงมาตรฐานความคงทนในด้านต่าง ๆ  เพิ่มเติม  โดยมาตรฐานหลัก ๆ ที่จำเป็นต้องคำนึงถึง ประกอบด้วย

  • ATEX/IECEx certification

มาตรฐานดังกล่าว  เป็นมาตรฐานสำหรับอุปกรณ์ที่นำมาใช้ในบริเวณที่มีความเสี่ยงอันตรายจากการระเบิด   ตามมาตรฐาน ATEX  จะแบ่งพื้นที่เป็น 3 โซน  ได้แก่ Zone 0, Zone 1 และ Zone 2  โดย Zone 0  หมายถึงพื้นที่ที่มีความเสี่ยงของการระเบิดจากไอระเหยตลอดเวลา   ส่วน Zone  1 คือ  พื้นที่ที่โดยส่วนมากมีความเสี่ยงจากการระเบิดจากการทำงานปกติ  แต่ไม่ได้มีความเสี่ยงดังกล่าวตลอดเวลา  Zone 2 เป็นพื้นที่ที่มีความเสี่ยงจากการระเบิดในบางโอกาส    แต่พื้นที่ดังกล่าวจะเป็นพื้นที่ปลอดภัย  ภายใต้การทำงานตามกฏระเบียบที่แน่ชัด   มาตรฐานดังกล่าว จะใช้กับอุปกรณ์ไฟฟ้า หรืออิเล็กทรอนิค  ที่จะนำไปติดตั้งหรือใช้งานในบริเวณโซนต่าง ๆ ที่ระบุไว้ข้างต้น   สำหรับอาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag) ที่ได้รับมาตรฐาน ATEX แสดงว่า อาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag) ดังกล่าวได้รับการยืนยันว่า  สามารถนำไปใช้ในบริเวณที่มีความเสี่ยงต่อการจุดระเบิดได้  

  • IP Certification

มาตรฐาน IP ย่อมาจากคำว่า Ingress Protection  เป็นมาตรฐานการป้องกันจากของแข็ง (ฝุ่น) และของเหลว    โดยปกติแล้วหมายเลขที่แสดงระดับ IP จะมีสองหลัก  โดยหมายเลขหลักแรก หมายถึงความสามารถการป้องกันจากของแข็ง (ฝุ่น)   โดยค่าต่ำสุดคือ 1 หมายความว่า   สามารถป้องกันของแข็งที่มีขนาดใหญ่ 50 มม.  เช่น มือ  ไม่สามารถผ่านเข้าไปได้   ค่าสูงสุดคือ 6 หมายความว่า   อุปกรณ์ดังกล่าวสามารถป้องกันฝุ่นละอองได้ 2-6 ชั่วโมง   ส่วนหมายเลขหลักที่สอง  หมายถึง  ความสามารถในการป้องกันของเหลว   ค่าต่ำสุดคือ 1 หมายความว่า  สามารถป้องกันหยดน้ำที่หยดใส่ในแนวดิ่ง   ส่วนค่าสูงสุด  คือ 8   สามารถอยู่ในน้ำลึกที่มีแรงดันได้เป็นเวลานาน  ในขณะที่ค่าหมายเลข 7  หมายความว่า  อยู่ในน้ำลึกประมาณ 1 เมตรได้เป็นเวลา 30 นาที   ตัวอย่างเช่น หากอาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag) ได้รับมาตรฐาน IP68   หมายความว่า  อาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag)  สามาถป้องกันฝุ่น และของเหลวได้สูงสุด    ในการใช้งานอาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag) ดังกล่าว   สามารถจมอยู่ใต้น้ำในระดับ 1-2 เมตรได้เป็นเวลานาน  โดยที่น้ำไม่เข้าไปในอาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag) ดังกล่าวได้   สำหรับอาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag) ที่ได้รับ IP69K  หมายถึงอาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag)  ได้รับอันดับ IP สูงสุด  สามารถทนน้ำที่มีแรงดันสูงได้  สำหรับ K หมายถึงมาตรฐานการรับรองกระแทก

  • IK Certification

มาตรฐาน IK  หมายถึง ความสามารถของอุปกรณ์ที่จะรองรับแรงกระแทก    โดยค่าต่ำสุด คือ IK00 (ไม่มีการจัดอันดับ)  ถึง IK10    ค่า IK01   แสดงว่า  อุปกรณ์ดังกล่าวสามารถทนต่อแรงกระแทก 0.15 จูล (Joules) หรือทนต่อแรงกระแทกของลูกตุ้มที่มีน้ำหนัก 200 กรัม  กระแทกจากระยะ 7.5 ซม.     ในขณะที่ค่า IK10  อุปกรณ์ดังกล่าวสามารถทนต่อแรงกระแทก 20 จูล (Joules) หรือทนต่อแรงกระแทนของลูกตุ้มน้ำหนัก  5  กก  กระแทกจากระยะ 40 ซม.  

  • UL 94 Certification

ในการใช้งานบางกรณีอาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag)  อาจจะใกล้กับเปลวไฟ  ดังนั้นอาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag)  สำหรับงานประเภทนี้จำเป็นต้องได้รับมาตรฐาน UL94   มาตรฐานดังกล่าวเป็นการกำหนดว่า  วัสดุหรืออุปกรณ์ที่ได้รับมาตรฐาน UL นั้นลามไฟได้ง่ายเพียงใด   โดยมีการแบ่งเป็นลำดับดังต่อไปนี้

  • HB ติดไฟได้ช้า  ในแนวตรง   อัตราการติดไฟ น้อยกว่า 76 มม./นาที  สำหรับวัสดุที่มีความหนาน้อยกว่า 3 mm
  • V2  สามารถดับเปลวไฟด้วยตนเอง ภายใน 30 วินาที  แต่อาจมีหยดไฟได้
  • V1 สามารถดับเปลวไฟด้วยตนเอง ภายใน 30 วินาที  ไม่เป็นหยดไฟ
  • V0 สามารถดับเปลวไฟด้วยตนเอง ภายใน 10 วินาที  ไม่เป็นหยดไฟ
  • 5VB สามารถดับเปลวไฟด้วยตนเองภายใน 60 วินาที   ไม่เป็นหยดไฟ   แต่อาจจะมีรูไหม้ (Burnthrough) บนวัสดุ
  • 5VA สามารถดับเปลวไฟด้วยตนเองภายใน 60 วินาที   ไม่เป็นหยดไฟ   แต่อาจจะไม่แสดงรูไหม้ (Burnthrough) บนวัสดุ

ดังนั้นการเลือกซื้ออาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag)  เพื่อมาใช้งานในสภาพที่ใกล้กับเปลวไฟ  จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องคำนึงถึงว่า อาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag)  ดังกล่าวติดไฟได้ง่ายเพียงใด  และทนต่อความร้อนได้สูงขนาดไหน

Source :  HID Global, The Four Most Important Certifications for Rugged RFID Tags