โครงสร้างของเครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader)

เครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader)

เครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader) เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการอ่านและเขียนข้อมูลลงไปในอาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag)   ในการเขียนข้อมูลนั้นสามารถเรียกว่า  เป็นกระบวนการเริ่มตั้งค่าในอาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag)  เรียกว่า  Commissioning Tag  ซึ่งเป็นการเชื่อมโยงอาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag)  กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ขณะเดียวกันการเขียนก็สามารถใช้เป็นการลบค่าได้เหมือนกัน  หรือการบันทึกข้อมูลใหม่ลงไปในอาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag) ซึ่งเรียกว่า   Decommissioning tag  

เครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader) เป็นหัวใจหลักของอุปกรณ์อาร์เอฟไอดี (RFID)  และในเครื่องอ่านอาร์เอฟไอดีประกอบด้วย

·         ส่วนการส่งข้อมูล  ส่วนนี้จะรับผิดชอบในการส่งสัญญาณจากเครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader)  และรับสัญญาณจากอาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag) ที่ส่งกลับให้กับเสาอากาศของเครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader)

·         ส่วนการรับข้อมูล  ส่วนนี้จะรับข้อมูลจากอาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag) หลังจากได้รับข้อมูลจากอาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag)  นี้แล้ว  ส่วนนี้จะส่งข้อมูลต่อไปให้แก่ส่วนไมโครโปรเซสเซอร์

·         ไมโครโปรเซสเซอร์  รับผิดชอบในการสื่อสารกันระหว่างอาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag) กับเครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader)  ส่วนนี้จะเป็นตัวแปลงโปรโตคอล  แปลงข้อมูล และทำการตรวจสอบหลังจากได้รับข้อมูลจากอาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag)    ส่วนนี้จะเป็นส่วนที่แปลงข้อมูลที่ได้รับเป็นข้อมูลดิจิตอลสัญญาณอะนาล๊อก  (Analog)  ยิ่งไปกว่านั้นไมโครโปรเซสเซอร์นี้ยังประกอบด้วย Logic ต่าง ๆ ในการกรองข้อมูลและอ่านข้อมูลจากอาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag)

·         ส่วนความจำ  ส่วนนี้ใช้ในการเก็บข้อมูล เช่น ข้อมูลจากอาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag)    ในการทำงานบางครั้ง  เมื่อส่วนที่ต่อเชื่อมระหว่างเครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader) และคอนโทรลเลอร์ (Controller)  หรือส่วนที่เป็นซอฟท์แวร์  มีปัญหาในการทำงาน  ส่วนที่ทำหน้าที่ในการเก็บความจำนี้จะทำให้ข้อมูลที่อ่านจากอาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag)  ไม่สูญหาย   การเก็บความจำนี้ขึ้นอยู่กับขนาดของหน่วยความจำ   อย่างไรก็ตามหน่วยความจำในเครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader) ก็มีขนาดจำกัด  หากระบบในเครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader) หยุดการทำงานเป็นเวลานาน  หน่วยความจำในเครื่องจำอาจจะไม่มากพอ  ทำให้ข้อมูลบางส่วนหายไปได้

·         ส่วนการรับและส่งออกข้อมูลจากอุปกรณ์ภายนอก  เช่น  การรับข้อมูลจากเซนเซอร์  เป็นต้น  ในความเป็นจริง  เครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader) ไม่จำเป็นต้องเปิดทำงานตลอดเวลา  เนื่องจากว่า อาร์เอฟไอดี (RFID Tag)  อาจจะเข้ามาในบริเวณเครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader) ไม่บ่อยเท่าที่ควร  ซึ่งลักษณะนี้หากเปิดเครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader) ไว้ตลอดเวลา  อาจจะเป็นการสิ้นเปลืองโดยใช่เหตุ  ดังนั้นการทำงานส่วนนี้ จะเป็นการเปิด/ปิดเครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader) เมื่อมีอาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag)  เข้ามาในเครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader)   ส่วนที่เป็นเซนเซอร์จะส่งข้อมูลไปกระตุ้นให้เครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader) ทำงาน  นอกจากนี้  ส่วนนี้ยังทำหน้าที่ในการส่งออกข้อมูลด้วย  การส่งออกข้อมูลสามารถที่จะกำหนดได้ให้ส่งข้อมูลออกตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ เช่น  การเปิดและปิดประตู เป็นต้น

·         อุปกรณ์คอนโทรลเลอร์  คอนโทรลเลอร์นี้เป็นส่วนที่ทำหน้าที่ในการติดต่อสื่อสาร  ระหว่างเครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader) กับคอมพิวเตอร์  หรืออุปกรณ์ต่อเชื่อมอื่น  นอกจากนั้น  ยังเป็นส่วนควบคุมการทำงานของเครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader)

·         ส่วนการสื่อสาร  ทำหน้าที่ควบคุมการติดต่อสื่อสารของเครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader) ส่วนนี้จะต่อเชื่อมระหว่างคอนโทรลเลอร์กับอุปกรณ์ภายนอก   อุปกรณ์ในการติดต่อสื่อสารนั้น อาจจะทำได้หลายรูปแบบเช่น  การสื่อสารแบบ  Serial  หรือ แบบ  Network เป็นต้น  ในการติดต่อกับอุปกรณ์ภายนอกได้  จะทำงานโดยผ่านการสั่งงานของคอนโทรลเลอร์  ซึ่งการติดต่อสื่อสารนั้น อาจจะเป็นการเก็บข้อมูล  การรับคำสั่ง  และส่งข้อมูลกลับ

·         ส่วนแหล่งพลังงาน  ส่วนนี้ทำหน้าที่ในการเป็นแหล่งพลังงานให้กับเครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader) โดยปกติส่วนนี้จะรับพลังงานจากภายนอก  และส่งผ่านเข้ามาเครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader) โดยผ่านส่วนแหล่งพลังงานนี้

ประเภทของเครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader)

ในการจำแนกประเภทของเครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader) สามารถแยกได้ตามการต่อเชื่อม   และการใช้งาน  หากแยกประเภทเครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader) ตามลักษณะการต่อเชื่อมสามารถแบ่งได้เป็น  2 แบบ คือ การต่อเชื่อมแบบ  Serial   และ Network  หากแยกประเภทของเครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader) ตามการใช้งาน  สามารถแยกเป็นเครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader) แบบติดตั้งอยู่กับที่  และเครื่องอ่านแบบมือถือ

1. การแบ่งแยกตามลักษณะการต่อเชื่อม

1.1. เครื่องอ่านอาร์เอฟไดี (RFID Reader) แบบ  Serial   เครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader) แบบ  Serial  นั้นติดต่อกับอุปกรณ์ภายนอกโดยผ่านทาง   Serial  ซึ่งปกติแล้วจะต่อเชื่อมโดยผ่าน  RS232 หรือ RS485  โดย   RS485 จะสื่อสารได้ในระยะที่ไกลกว่า   จุดดีของเครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader) ประเภทนี้คือ การสื่อสารสามารถเชื่อถือไว้มากกว่าเครื่องอ่านแบบ  Network    ทำให้เครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader) ประเภทนี้จะนำมาใช้งานพื่อทีจะลดปัญหาในการสื่อสาร  แต่เครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader) ประเภทนี้ก็มีจุดเสีย  คือ  ความยาวของสายเคเบิล  นอกเหนือจากนั้น   Serial Port มีค่อนข้างจำกัด  ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีอุปกรณ์ต่อเชื่อมมากตามไปด้วย   ปัญหาต่อมาคือปัญหาการบำรุงรักษา  การบำรุงรักษาเครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader) ประเภทนี้จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องให้เจ้าหน้าที่เข้าไปดูแลเครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader) ทีละเครื่อง  นอกเหนือจากปัญหาเหล่านี้แล้ว  ซึ่งปัจจัยเหล่านี้อาจมีผลทำให้ค่าใช้จ่ายในการดูและรักษาสูงขึ้น

1.2. เครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader) แบบ Network  นั้นติดต่อกับคอมพิวเตอร์ผ่านระบบสาย  หรือไร้สาย  จุดเด่นของเครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader) ประเภทนี้  คือ ไม่จำเป็นต้องขึ้นอยู่กับความยาวของสายเคเบิ้ล  ที่ใช้ในการต่อเชื่อมกับคอมพิวเตอร์  ในการ  Update  firmware  สามารถทำได้ง่าย  ไม่จำเป็นต้องไปตรวจที่เครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader) เหมือนเครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader) แบบ  Serial  ประเด็นนี้ทำให้การบำรุงรักษาและค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาต่ำ  ข้อเสียของเครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader) ประเภทนี้  คือ  การต่อเชื่อมมีความน่าเชื่อถือที่ต่ำกว่าเครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader) แบบ Serial  แต่อย่างไรก็ตามหากระบบโครงสร้างเครือข่ายมีปัญหา  ซึ่งอาจมีผลให้เครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader) มีปัญหาไปด้วย อย่างไรก็ตาม  เครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader) ประเภทนี้จะมีหน่วยความจำในตัว  ซึ่งสามารถแก้ปัญหาของเครือข่ายได้ในบางส่วน

2.   การแบ่งแยกตามลักษณะการใช้งาน

2.1. เครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader) แบบติดตั้งอยู่กับที่  เครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader) ประเภทนี้จะติดตั้งไว้ที่ใดที่หนึ่ง  เช่นติดไว้ที่กำแพง หรือติดอยู่บนรถ  ในบริเวณที่กำหนดไว้ให้เป็นอาณาเขตของเครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader)   ราคาของเครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader) ประเภทนี้จะถูกกว่าเครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader) แบบมือถือ  ทำให้เครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader) แบบนี้มีการใช้งานที่แพร่หลายกว่า   เครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader) ประเภทนี้มีหลากหลายชนิด  ตัวอย่างเช่น   Agile Reader  ซึ่งเป็นเครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader) ที่สามารถใช้ได้หลายคลื่น  และสามารถใช้ได้กับอาร์เอฟไอดี (RFID Tag) หลายประเภท  นอกจากนี้ยังมีเครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader) ที่สามารถพิมพ์บาร์โค้ด  และบันทึกข้อมูลลงไปในอาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag) ได้ในขณะเดียวกัน   เครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader) ประเภทนี้สามารถทำงานได้ในสองลักษณะคือ   Autonomous  และ    Interactive

ในการทำงานแบบ   Autonomous  เครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader) จะอ่านอาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag)  ตลอดเวลา  ทุก ๆ ครั้งที่อาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag)  ถูกอ่านจะเก็บข้อมูลไว้ในรายการที่เรียกว่า  Tag List   รายการที่อยู่ใน  Tag List  จะสอดคล้องกับเวลาในการอ่าน  หากอาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag)  ที่กำหนดไว้ไม่ถูกอ่านในเวลาที่  ก็จะถูกลบออกไปจากรายการ  ในรายการ  Tag list  จะประกอบด้วย

o    รหัสของอาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag)

o    เวลาในการอ่าน

o    อาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag)  ถูกอ่านบ่อยแค่ไหน

o    เสาอาการที่ใช้ในการอ่านอาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag)

o    ชื่อของเครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader)

สำหรับการทำงานแบบ   Interactive  เครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader) ประเภทนี้จะทำงานตามคำสั่งที่ได้รับจากคอมพิวเตอร์ส่วนกลาง  หรือจากผู้ใช้  หลังจากเครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader) ทำงานตามคำสั่งเป็นที่เรียบร้อยแล้ว  เครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader) จะหยุดรอคำสั่งต่อไป

2.2  เครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader) แบบมือถือ  เครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader) ประเภทนี้จะมีเสาอากาศฝังอยู่ในตัว  ทำให้ระยะการอ่านค่อนข้างสั้นเมื่อเปรียบเทียบกับเครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader) แบบแรกที่กล่าวมา เครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader) ประเภทนี้มีราคาค่อนข้างสูง

โครงสร้างของระบบอาร์เอฟไอดี (RFID)

ระบบอาร์เอฟไอดี (RFID)  เป็นระบบที่ประกอบส่วนต่าง ๆ เข้าด้วยกัน ซึ่งสามารถที่จะสรุปได้ดังต่อไปนี้

o       อาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag) เป็นส่วนประกอบหลักของระบบอาร์เอฟไอดี (RFID System)

o       เครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader) เป็นส่วนประกอบหลักอีกส่วนหนึ่งของระบบอาร์เอฟไอดี (RFID System)

o       เสาอากาศของเครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี  (RFID Reader) ในปัจจุบันเครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader) บางรุ่นมีการสร้างเสาอากาศรวมในตัวเครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader)

o       กล่องควบคุม   ส่วนประกอบหลักอีกส่วนหนึ่งในระบบอาร์เอฟไอดี (RFID System)  ในปัจจุบันกล่องควบคุมนี้จะถูกสร้างรวมเข้าไปอยู่กับเครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader)

o       เซ็นเซอร์  หรืออุปกรณ์แสดงผล  อุปกรณ์นี้เป็นอุปกรณ์ส่วนเสริมของระบบ

o       ระบบซอฟท์แวร์  ในทางทฤษณีระบบอาร์เอฟไอดี (RFID) สามารถทำงานได้โดยไม่จำเป็นต้องมีระบบส่วนนี้  แต่ในทางปฏิบัติแล้ว  ระบบอาร์เอฟไอดี (RFID) แทบจะไร้ความหมาย ถ้าไม่มีระบบส่วนนี้

o       โครงสร้างการติดต่อสื่อสาร   ส่วนนี้เป็นองค์ประกอบหลักของระบบอาร์เอฟไอดี (RFID) ซึ่งอาจจะเป็นโครงสร้างสื่อสารแบบสายหรือไร้สายก็ได้  โครงสร้างการสื่อสารนี้เป็นส่วนที่จะเชื่อมต่อส่วนประกอบต่าง ๆ ที่กล่าวมาข้างต้นเข้าด้วยกัน เพื่อให้ส่วนประกอบต่าง ๆ สามารถติดต่อสื่อสารกันได้

  1. อาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag)

อาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID  Tag) เป็นอุปกรณ์ที่ใช้เก็บข้อมูล  และส่งข้อมูลไปให้เครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader) โดยผ่านคลื่นวิทยุ  อาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag)  สามารถแบ่งเป็นประเภทต่าง ๆ ได้ดังต่อไปนี้

·         อาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag)  แบบ  Passive

·         อาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag)  แบบ Active

·         อาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag)  แบบ  Semi-active/Semi-passive

อาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag)  แบบ  Passive

อาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID  Tag) ชนิด  Passive  ไม่มีแหล่งพลังงานในตัวเอง  ในการส่งข้อมูลนั้น  อาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag)  ประเภทนี้จะอาศัยพลังงานจากเครื่องอ่านอาร์อ่านเอฟไอดี (RFID Reader)  เพื่อให้ตนเองมีพลังงานในการส่งข้อมูลกลับไปให้กับเครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader)  เนื่องจากอาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag)  ประเภทนี้ไม่มีแผงวงจรใดใด  และพลังงานใด  ดังนั้นจึงสามารถใช้งานได้เป็นระยะเวลานานไม่มีการหมดอายุ   โดยทั่วไปอาร์เอฟไอดี (RFID Tag)  ลักษณะนี้ เหมาะสมกับการใช้งานที่อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่เอื้ออำนวยสำหรับการอ่าน ข้อมูลด้วยระบบบาร์โค้ด  เช่น  ในอุณหภูมิสูง 2040C  หรือสภาพน้ำกรด

ในการส่งข้อมูลระหว่างอาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID  Tag) ชนิดนี้กับเครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader)  เครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader) จะเป็นส่วนที่เริ่มส่งข้อมูลก่อน  เมื่ออาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag)  ได้รับข้อมูลจากเครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader)  ก็จะส่งข้อมูลกลับไป  Passive RFID Tag จะมีขนาดเล็ก   และราคาถูกว่า  Active RFID Tag   โดยหลัก  Passive  RFID Tag จะประกอบด้วย  ไมโครชิป  และเสาอากาศ

ไมโครชิป จะประกอบด้วย ส่วนสำคัญต่าง ๆ ดังต่อไปนี้ ส่วนแรกคือ ส่วนที่เป็นแหล่งพลังงาน ซึ่งมีหน้าที่ในการแปลงไฟแบบ AC จากเสาอากาศของเครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader)  มาเป็นไฟแบบ DC เพื่อใช้งานในส่วนต่าง ๆ ของอาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag)   ส่วนที่สองคือส่วนที่ทำหน้าที่ในการแปลงสัญญาณ ที่เรียกว่า  Modulator  ทำหน้าที่แปลงสัญญาณจากเครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader)  และส่งข้อมูลกลับให้เครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี  (RFID Reader) อีกส่วนคือส่วนที่ทำหน้าที่ในการกำหนด  Protocol  ในการสื่อสารข้อมูลระหว่างเครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader) กับอาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag) เรียกว่า  ส่วน  Logic  และท้ายที่สุดคือส่วนที่เป็นหน่วยความจำ  เป็นส่วนที่ใช้สำหรับเก็บข้อมูล  ซึ่งโดยปกติจะมีการเก็บข้อมูลเป็น  Block  

เสาอากาศเป็นส่วนที่ใช้การนำพลังงาน (ไฟฟ้า) จากเครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader) เพื่อให้อาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag) มีพลังงานในการส่งและรับข้อมูลจากเครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี  (RFID Reader) เสาอากาศของอาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag)  มีขนาดใหญ่กว่าชิปอย่างมาก  ดังนั้นจะเห็นได้ว่า  การออกแบบเสาอากาศของอาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag)  เป็นปัจจัยสำคัญมาก เนื่องจากมีผลต่อระยะการอ่าน  และมุมในการอ่าน  ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการออกแบบเสาอากาศมีหลายปัจจัย  ตัวอย่างเช่น

·         ระยะการอ่านระหว่างอาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag)  กับเครื่องอ่าน (RFID Reader)

·         มุมในการอ่านระหว่างอาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag)  กับเครื่องอ่าน (RFID Reader)

·         วัสดุที่ใช้ในการทำ

·         ความเร็วในการอ่าน

·         สภาพแวดล้อมในการอ่าน

·         ลักษณะเสาอากาศของเครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader)

อาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag)  แบบ  Active

อาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag) ชนิด Active   ประกอบด้วยส่วนต่าง ๆ ดังต่อไปนี้

·         ไมโครชิป

·         เสาอากาศ

·         แหล่งพลังงาน  หน้าที่หลักของอุปกรณ์นี้คือ  การจ่ายพลังงานให้แก่อุปกรณ์อิเลคทรอนิค  และการส่งข้อมูล  โดยส่วนใหญ่  Active RFID Tag  จะมีอายุการทำงานประมาณ 2 ถีง  7 ปี ขึ้นอยู่กับประเภทของแบตตอรี่   ปัจจัยหนึ่งที่มีผลต่อการอายุการใช้งานของแบตตอรี่คือ  ความถี่ในการส่งข้อมูล  หากความถี่ต่ำในการส่งข้อมูลนาน Active RFID  Tag นั้นก็จะมีอายุในการใช้งานนาน

·         อุปกรณ์อิเลคทอรนิค  โดยส่วนใหญ่หน้าที่ของอุปกรณ์ส่วนนี้จะใช้งานเหมือน  Transmitter  หรือทำหน้าที่อื่น ๆ เพิ่มเติมเช่น การคำนวน หรือ แสดงค่าต่าง ๆ เช่น เซนเซอร์  เป็นต้น  ทำให้ขอบเขตการทำงานของ Active RFID  Tag  หลากหลายมากขึ้น

ในการติดต่อกันระหว่าง Active RFID  Tag  กับเครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader) สำหรับ  Active RFID Tag  ประเภทนี้  Active RFID Tag  จะเป็นส่วนที่เริ่มการติดต่อก่อน  เนื่องจาก Active RFID Tag  ประเภทนี้มีแหล่งพลังงานของตนเอง  ดังนั้น Active RFID Tag  ประเภทนี้จึงไม่ต้องอาศัยพลังงานจากเครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader) ในการส่งข้อมูล  ยังมี Active RFID Tag  อีกประเภทที่สามารถส่งข้อมูลได้  โดยไม่จำเป็นต้องเข้าอยู่ในระยะของเครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader) เรียกว่า  Transmitter  Tag ประเภทนี้สามารถส่งข้อมูลให้กับเครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader) ได้ไกลถึง 30 เมตร  Active RFID Tag  อีกประเภทที่จะหยุดการทำงาน  (sleep mode) หรือทำงานโดยใช้พลังงานน้อยมาก  เมื่อไม่อยู่ในระยะของเครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader) Active RFID Tag  ประเภทนี้  เครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader) จะทำหน้าที่ในการกระตุ้นให้อาร์เอฟไอดีแท๊ก  (RFID Tag)  ทำงานเมื่อเข้ามาอยู่ในระยะที่เครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader) สามารถอ่านข้อมูลได้  การทำงานในลักษณะนี้ทำให้ อาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag)  ประเภทนี้มีอายุการใช้งานกว่าอาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID  Tag)  ที่เป็นลักษณะ  Transmitter   

อาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag)  แบบ  Semi Active

อาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID  Tag) ชนิด  Semi Active ในบางกรณีอาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag)  ลักษณะนี้จะเรียกว่า  Battery-Assisted Tag เป็น อาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag)  ที่มีแหล่งพลังงานเป็นของตนเอง  และอุปกรณ์อิเลกทรอนิคส์ในการทำงาน  แหล่งพลังงานดังกล่าวจะทำหน้าที่ให้พลังงานแก่อาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag)  ซึ่งมีลักษณะเหมือนกับ Active tag  

ในการส่งข้อมูลนั้นอาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag)  ประเภทนี้จะอาศัยพลังงานจากเครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader)  มีการนำอาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag)  ประเภทนี้แทน  Passive RFID Tag  เนื่องจากว่า  อาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag)  ประเภทนี้ สามารถส่งข้อมูลได้ไกลกว่า  เพราะการส่งข้อมูลไม่ต้องรอให้เกิดการกระตุ้นการทำงานของขดลวดทองแดงเหมือน  Passive RFID Tag   ถึงแม้ว่า วัสดุที่ติดอาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID  Tag)  ประเภทนี้จะเคลื่อนที่ด้วยความเร็ว  วัสดุที่มีผลต่อคลื่นวิทยุ  การส่งข้อมูลก็ยังสามารถทำงานได้ดี

ในการแบ่งประเภทของอาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag) ยังสามารถที่จะแบ่งได้ตามความสามารถในการบันทึกข้อมูล  ซึ่งสามารถแบ่งได้เป็น  3 ประเภท คือ

1.        ประเภทที่อ่านข้อมูลได้อย่างเดียว (RO)

2.        ประเภทที่บันทึกข้อมูลได้เพียงครั้ง  และสามาถอ่านข้อมูลได้ตลอด (WORM)

3.        ประเภทที่สามารถบันทึกและอ่านข้อมูลได้ตลอด (RW)

อาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag) อ่านได้อย่างเดียว (RO)

อาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag)  ประเภทนี้จะถูกโปรแกรมเพียงครั้งเดียว  ข้อมูลนั้นจะบันทึกลงไปในอาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag)  ระหว่างการผลิต  โดยการบันทึกข้อมูลนั้นจะบันทึกลงไปในไมโครชิป   เมื่อบันทึกข้อมูลนี้ลงไปแล้ว  ข้อมูลไม่สามารถที่จะเขียนข้อมูลอื่น ๆ ลงไปได้    อาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag) ประเภทนี้  ในบางครั้งก็จะเรียกว่า อาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag) ที่โปรแกรมด้วยโรงงาน (Factory Programme) อาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag) ประเภทนี้ใช้ได้ดีสำหรับนำไปใช้งานที่มีขนาดเล็กไม่มีความซับซ้อน  แต่ไม่เหมาะสำหรับการใช้งานที่มีความซับซ้อนมาก

อาร์เอฟไอดีแท๊ก้ RFID Tagที่บันทึกข้อมูลเพียงครั้งเดียว  และสามารถอ่านข้อมูลได้ตลอด (WORM)

อาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag) ประเภทนี้จะถูกโปรแกรมหรือเขียนบันทึกข้อมูลเพียงครั้งเดียว  ซึ่งการบันทึกข้อมูลนี้จะบันทึกโดยผู้ใช้  เมื่อต้องการที่จะใช้อาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag) นั้น  ถ้าอาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag)  ถูกเขียนโปรแกรมมากกว่าจำนวนที่กำหนดไว้   อาร์ฺเอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag)  ประเภทนี้อาจจะเสียหายได้   อาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag) ประเภทนี้เรียกว่า  Field Programmable

อาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag) ที่สามารถอ่านและเบียนได้ตลอด (RW)

อาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag) ประเภทนี้จะถูกบันทึกซ้ำได้ตลอด  โดยปกติแล้ว  อาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag)  นี้สามารถที่บันทึกซ้ำได้ประมาณ 10,000 ถึง 100,000 ครั้ง หรือมากกว่า  ความสามารถในการบันทึกซ้ำได้ตลอดลักษณะนี้  ทำให้อาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag) ประเภทนี้มีประโยชน์อย่างมาก   อาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag) ประเภทนี้มีหน่วยความจำที่เรียกว่า   Flash  ที่ใช้ในการบันทึกข้อมูล  ดังนั้นอาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag)  ประเภทนี้จะเรียกว่า   Field programmable  หรือ reprogrammable  Tag  ประเภทนี้

คลื่นวิทยุมีกี่ประเภท อะไรบ้าง

1. Low Frequency (LF)

ความถี่นี้จะอยู่ในช่วง 30 Khz  ถึง 300 Khz.  ในเทคโนโลยีอาร์เอฟไอดี (RFID) จะใช้คลื่น 125 KHz ถึง 134 KHz  ความสามารถในการส่งข้อมูลในคลื่นนี้ค่อนข้างช้า  แต่สามารถใช้งานได้ดีในวัสดุที่เป็นของเหลว  หรือโลหะ  จะเห็นได้จากตารางข้างต้น  วัสดุที่เป็นโลหะ หรือน้ำจะมีลักษณะเป็น   RF-friendly ต่อคลื่นความถี่นี้

2. High Frequency (HF)

ความถี่นี้จะอยู่ในช่วง  3 MHz ถึง 30 MHz  ความถี่  13.56 Mhzจะเป็นความถี่ที่มีการใช้งานมากทีสุดในเทคโนโลยีอาร์เอฟไอดี (RFID)   เหมือนเช่นกับความถี่ LF ความถี่นี้จะใช้กับ  Passive tag  เป็นส่วนมาก  ความถี่นี้ใช้งานได้ปานกลางในวัสดุที่เป็นโลหะและของเหลว  และมีการใช้งานอย่างแพร่หลายในโรงพยาบาล  เพราะความถี่นี้ไม่รบกวนอุปกรณ์ที่โรงพยาบาลใช้งานอยู่ในปัจจุบัน

3. Ultra High Frequency (UHF)

ความถี่นี้จะอยู่ในช่วง  300 MHz ถึง 1 GHz.  โดยปกตินี้ความถี่ที่นิยมจะใช้ในความถี่ช่วงนี้คือ 915 MHz ในอเมริกา  และ 868 MHz ในยุโรป  ส่วนประเทศไทยความถี่ที่อนุญาตให้ใช้คือ  920-925 Mhz  

ความถี่ในช่วงนี้สามารถที่จะส่งข้อมูลได้ค่อนข้างเร็ว  แต่จะใช้งานไม่ดีในวัสดุที่เป็นโลหะ และของเหลว  (ยกเว้น Active RFID)  อย่างไรก็ตาม  ความถี่นี้ได้มีการนำมาใช้อย่างแพร่หลาย  เพราะว่ามีหลายหน่วยงานนำคลื่นความถี่มาใช้  หรือบังคับให้นำความถี่นี้มาใช้งาน   เช่น  กระทรวงกลาโหมของสหรัฐอเมริกา

4. Microwave Frequency

ความถี่นี้คือความถี่ที่สูงกว่า 1 GHzขึ้นไป  ช่วงความถี่ที่นิยมนำมาใช้ในเทคโนโลยีอาร์เอฟไอดี (RFID) คือ 2.45 GHz และ 5.8 GHz  แต่ความถี่ 2.45 GHzจะได้รับความนิยมมากว่า  ความถี่นี้สามารถนำมาใช้ทั้ง   Passive RFID Tag และ Active RFID Tagความถี่นี้สามารถส่งข้อมูลได้เร็ว  แต่ทำงานได้แย่มากเมื่อไปใช้กับวัสดุที่เป็นโลหะและของเหลว

โดยสรุป  ลักษณะการใช้งานและคุณสมบัติของคลื่นความถี่แต่ละประเภทสามารถที่จะสรุปได้ดังตารางด้านล้างนี้