Posts

การสื่อสารกันระหว่างเครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader) กับ อาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag)

การสื่อสารกันระหว่างเครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader) กับอาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag) นั้นขึ้นอยู่กับประเภทของอาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID  Tag)  ก่อนที่กล่าวถึงรายละเอียดของการสื่อสารในแต่ละแบบ  อาณาเขตระหว่างเสาอากาศของเครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader) สามารถส่งสัญญาณคลื่นวิทยุได้ระยะสั้นเรียกว่า Near Field  ส่วนบริเวณที่ไกลออกไปเรียกว่า   Far Field  โดยปกติ Passive RFID ที่ใช้คลื่นความถี่  LF และ  HF จะติดต่อสื่อสารกับเครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader) ในบริเวณที่เรียกว่า  Near Field   ในขณะที่คลื่นความถี่  UHF หรือสูงกว่า  จะติดต่อสื่อสารกับเครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader) ในบริเวณ  Far Field   ดังนั้นจะเห็นได้ว่าอาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag) ที่สื่อสารในบริเวณ  Far Field สามารถที่จะติดต่อสื่อสารได้ในระยะที่ไกลกว่า

ลักษณะการสื่อสารข้อมูลระหว่างอาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag)  กับเครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader) มีสามลักษณะคือ  Modulated backscatter, Transmitter type และ Transponder type

·         Modulated Backscatter  การสื่อสารลักษณะนี้  เครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader) จะส่งคลื่นวิทยุในลักษณะต่อเนื่อง   (Continuous wave) ซึ่งจะส่งออกมาในลักษณะกระแส  AC  ผ่านเสาอากาศที่อยู่ในอาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag)  เมื่ออาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag) ได้รับกระแสจากเครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader)  เสาอากาศก็จะส่งพลังงานให้กับไมโครชิปที่อยู่ในอาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag)   เพื่อให้อาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag)  มีกำลังไฟในการทำงาน  ซึ่งใช้กำลังไฟประมาณ  1.2 โวลท์  แต่ในกรณีของการเขียนข้อมูลจำเป็นต้องใช้กำลังไฟมากถึง  2.2  โวลท์จากเครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader) ไมโครชิบเมื่อได้รับสัญญาณจากเครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader) ก็จะทำการส่งข้อมูลกลับไปให้แก่เครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader)  เมื่อเครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader) ได้รับข้อมูลนี้  ก็จะทำการแปลค่าเหล่านั้น  การสื่อสารแบบนี้จะใช้สำหรับ  Passive และ  Semi-active

ในลักษณะการสื่อสารแบบนี้  เครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader) จะเป็นอุปกรณ์ที่เริ่มต้นในการส่งข้อมูล  และอาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID  Tag)  จะส่งข้อมูลกลับมา  ในลักษณะนี้อาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag) ไม่สามารถสื่อสารได้  หากไม่มีเครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader) เพราะว่าการทำงานในลักษณะนี้จะขึ้นอยู่กับเครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader) เป็นสำคัญ

·         Transmitter  การสื่อสารลักษณะนี้จะใช้กับ  Active RFID Tag  เท่านั้น  การสื่อสารในลักษณะนี้อาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag) จะส่งข้อมูลเป็นช่วงเวลาที่กำหนดไว้  โดยไม่สนใจว่ามีเครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader) อยู่หรือไม่  ดังนั้นการสื่อสารแบบนี้อาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID  Tag)  จะเป็นอุปกรณ์ที่เริ่มการสื่อสารก่อนเสมอ

·         Transponder  การสื่อสารแบบนี้เช่นกับ  Active RFID Tag  บางประเภทเป็นพิเศษ  การสื่อสารแบบนี้อาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag) จะไม่ทำงาน  หรืออยู่ใน  Sleep  mode เมื่อไม่มีการติดต่อสื่อสารกับเครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader)   ในช่วงที่อาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag)  อยู่ใน Sleep Mode   อาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag)  อาจจะส่งข้อมูลออกมาเป็นระยะเพื่อตรวจดูว่า มีเครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader) อยู่ในบริเวณดังกล่าวหรือไม่  เมื่อเครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader) ได้รับสัญญาณดังกล่าว  เครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader) ก็ส่งคำสั่งไปปลุก (wake up) ให้อาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag) ทำงาน  เมื่ออาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag) ได้รับสัญญาณนี้จากเครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader) ก็จะเริ่มทำการส่งข้อมูล   ในการสื่อสารแบบนี้อาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag)  ส่งข้อมูลเมื่อได้รับสัญญาณจากเครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader) เท่านั้น

ในการสื่อสารระหว่างเครื่องอ่านอาร (RFID Reader) กับอาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag) นั้นจะมีอยู่สองลักษณะคือ  การอ่าน  และการบันทึกข้อมูล

·         การอ่านสามารถที่จะอ่านอาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag) พร้อมกันในเวลาเดียวกัน  หรือที่เรียกว่า  Tag collision  เมื่อมี  Tag มากกว่าหนึ่ง  Tag  ส่งสัญญาณกลับมาพร้อมกันให้กับเครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader) เครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader) จำเป็นต้องมี Protocol  เพื่อใช้ในการสื่อสารกับสัญญาณเหล่านั้น  เพื่อมิให้เกิดความสับสนในการสื่อสาร  Protocol  ที่ใช้ในการสื่อสารเรียกว่า   Anti-Collision  ปัจจุบันมีอยู่สอง  Protocol  ที่มีการใช้การอย่างแพร่หลาย  คือ

o    ALOHA สำหรับคลื่นวิทยุ HF

o    Tree Walking สำหรับคลื่นวิทยุ UHF

นอกเหนือจากประเด็นที่กล่าวมา  การสื่อสารระหว่างเครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader) กับอาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag)  ที่ดีควรจะทำให้เกิด ความแม่นยำในการอ่าน (Read Robustness) สูง  ความแม่นยำในการอ่าน  หมายถึงจำนวนครั้งที่สามารถการอ่านอาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag) ได้  เมื่ออาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag)  นั้นอยู่ในบริเวณการอ่าน  (Read Zone)   ระบบอาร์เอฟไอดี (RFID) ที่ดีจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องได้รับการออกแบบให้สามารถอ่านอาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag)  ได้ตลอดเวลา  ปัจจัยที่มีผลอย่างยิ่งต่อการอ่าน  คือ

·         ระยะเวลาที่อาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag)  อยู่ในบริเวณการอ่าน (Read Zone) ยิ่ง อาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag)  อยู่ในบริเวณการอ่านน้อยแค่ไหน  ความสามารถในการอ่านก็สั้นลงตามไปด้วย  

·          จำนวนอาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag)  ที่อยู่ในบริเวณการอ่านก็มีผลต่อ เนื่องจากว่า  จำนวนอาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag) ที่มีมาก  ก็มีผลให้สามารถให้อ่านอาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag)  ได้น้อยลง

·         ในกรณีของการบันทึกข้อมูลลงไปในอาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag)  นั้น การบันทึกข้อมูลจะใช้เวลานานกว่าการอ่าน  เพราะว่าการเขียนจะมีกระบวนการทำงานที่มากกว่า  ได้แก่  การยืนยันอาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag)  การลบข้อมูลเดิม  การบันทึกข้อมูลใหม่  และการยืนยันอีกครั้ง  ยิ่งไปกว่านั้นข้อมูลที่บันทึกลงไปในอาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag)  จะมีลักษณะเป็นบล๊อก  ซึ่งมีผลทำให้การทำงานมีขั้นตอนเพิ่มมากขึ้น  ดังนั้นการบันทึกข้อมูลหนึ่งลงไปในอาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag)  จะใช้เวลามากกว่าการอ่านข้อมูล  นอกจากนั้นการบันทึกข้อมูลยังต้องการระยะเวลาที่มากกว่า  เมื่อเปรียบเทียบกับการอ่าน   ระยะเวลาที่มากขึ้นมานั้นเป็นการยืนยันได้ว่า  การบันทึกข้อมูลนั้นต้องมีพลังงานมากพอ   และในท้ายที่สุด  การบันทึกข้อมูลลงใน อาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag) จำเป็นอย่างยิ่งต้องมีอาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag)  เพียง  Tag  เดียวอยู่ในบริเวณที่บันทึกข้อมูล  มิฉะนั้น  การบันทึกข้อมูลอาจจะผิดพลาดได้  เพราะอาจจะบันทึกข้อมูลลงในอาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag) ผิด Tag ได้

เสาอากาศของเครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader)

เครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader) ติดต่อสื่อสารกับอาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag) โดยผ่านทางเสาอากาศของเครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader) ซึ่งอาจจะเป็นอุปกรณ์ที่แยกออกจากเครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader) และต่อเชื่อมกับเครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader) โดยผ่านทางสายเคเบิล   หรือเป็นลักษณะที่รวมเข้ากับเครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader)  เป็นอุปกรณ์เดียวกัน  ในกรณีที่เสาอากาศเชื่อมต่อกับเครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader) โดยสายเคเบิล   ระยะห่างจากเครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader) กับเสาอากาศจะมีจำกัด อยู่แค่ 6 ถึง 25  ฟุต   เครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader) หนึ่งเครื่องสามารถที่จะต่อเชื่อมกับเสาอากาศได้ถึง 4 เสาอากาศ

ขอบข่ายของเสาอากาศเครื่องอ่าน  (Antenna Footprint)

ขอบข่ายของเสาอากาศจะเป็นตัวกำหนดอาณาเขตการอ่าน   (Read Zone)  โดยทั่วไปขอบข่ายของเสาอากาศมีรูปทรงเป็นสามมิติ  คล้ายกับลักษณะของบอลลูน  ที่พุ่งตรงออกจากเสาอากาศ (เหมือนรูปด้านล่าง)  บริเวณในส่วนที่พุ่งออกมานั้น  จะเป็นบริเวณที่เครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader) สามารถอ่านได้ดีที่สุด

แต่ในความเป็นจริง ขอบข่ายการอ่านนั้นมิได้เป็นรูปแบบที่กล่าวไว้ข้างต้น  การอ่านของเครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader) บ่อยครั้งที่จะมีรูปแบบที่มิได้เป็นมาตรฐานเช่นนั้นทำให้เกิดบริเวณที่เครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader) ไม่สามารถอ่านได้เรียกว่า   Dead Zone  ดังเช่นตัวอย่างด้านล่าง

ดังนั้น  เมื่ออาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag) อยู่ในบริเวณที่คลื่นวิทยุของเครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader) ครอบคลุมถึง  แต่อาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag)  มีการเคลื่อนไปสู่บริเวณ  Dead Zone   Tag  ดังกล่าวก็จะไม่สามารถที่จะอ่านได้  จะเห็นได้ว่า  ความสามารถในการอ่านในลักษณะนี้จะมีความแน่นอนที่ต่ำ  เพราะฉะนั้นในการติดตั้งเสาอากาศของเครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader)  จำเป็นอย่างยิ่งต้องให้บริเวณการอ่านอยู่ในบริเวณที่อ่านดีที่สุด  ถึงแม้ว่าระยะทางระหว่างเครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader) จะสั้นบ้างเล็กน้อยก็ตาม   จากลักษณะที่กล่าวมาข้างต้นจะเห็นได้ว่า จำเป็นอย่างยิ่งที่จะศึกษาถึงขอบเขตการอ่านของเสาอากาศ  ก่อนที่จะมีติดตั้งเสาอากาศของเครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader)

การตั้งเสาอากาศให้มีแนวทางเดียวกัน (Antenna Polarization)

จากที่กล่าวมาข้างต้น  เสาอากาศจะส่งคลื่นออกไปในบริเวณรอบ ๆ ทางที่คลื่นวิทยุนี้ส่งออกไปเรียกว่า  Antenna Polarization  ในการอ่านอาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag)  ระยะการอ่าน  ความแม่นยำในการอ่าน  จะขึ้นต่อ  Antenna Polarization  และมุมในการอ่านของอาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag) เป็นอย่างมาก  ลักษณะของเสาอากาศ สำหรับคลื่น  UHF  จะมีสองลักษณะคือ 

·         Linear polarized

·         Circular polarized

การอ่านสำหรับเสาอากาศทั้งสองประเภทจะมีลักษณะเหมือนดังแผนภาพด้านล่าง

เสาอากาศแบบ Linear Polarized Antenna

เสาอากาศลักษณะนี้จะส่งคลื่นวิทยุออกมาในแนวเส้นตรง  ตามตัวอย่างด้านล่าง

เสาอากาศลักษณะนี้จะมีมุมในการอ่านที่แคบ แต่จะอ่านได้ในระยะไกลกว่า  ถ้าเปรียบเทียบ  เสาอากาศแบบ circular polarized   ซึ่งเสาอากาศแบบนี้จะง่ายในการกำหนดขอบเขตในการอ่าน  เพราะการอ่านเป็นเส้นตรง  เสาอากาศแบบนี้จะมีประโยชน์เป็นอย่างมากสำหรับการใช้งานที่  อาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag)  อยู่ในตำแหน่งคงที่ ตำแหน่งของอาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag)  สำหรับเสาอากาศลักษณะนี้มีลักษณะเหมือนตัวอย่างด้านล่าง

เสาอากาศแบบ Circular Polarized Antenna

เสาอากาศแบบนี้จะส่งคลื่นวิทยุออกมาในลักษณะเป็นวงกลมเหมือนดังภาพด้านล่าง  ดังนั้นคลื่นที่ออกมาจะมีจุดที่สูงที่สุด  และจุดที่ต่ำสุด                                

เนื่องจากลักษณะของคลื่นที่ออกมา  จะเห็นได้ว่า  เสาอากาศแบบนี้จะมีผลต่อตำแหน่งของอาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag) น้อยกว่าเสาอากาศแบบแรก ดังนั้นเสาอากาศแบบนี้จึงเหมาะกับการใช้งานในลักษณะที่ตำแหน่งจากอาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag)  ไม่สามารถที่จะคาดเดาได้  เสาอากาศแบบ circular polarized antenna จะมีมุมอ่านที่กว้างกว่า  ดังนั้นทำให้สามารถอ่านอาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag)  ได้กว้างกว่า  ตำแหน่งของอาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag)  สำหรับเสาอากาศประเภทนี้จะมีลักษณะเหมือนดังแผนภาพด้านล่างนี้

Reader collision

Reader collision จะเกิดขึ้นเมื่อมีเครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader) มากกว่าหนึ่งเครื่องอยู่ในบริเวณการอ่าน (Read zone)   สภาพลักษณะนี้จะเกิดขึ้นเมื่อเสาอากาศของเครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader) มากกว่าหนึ่งเครื่องส่งสัญญาณรบกวนกันเอง  เพื่อที่จะป้องกันปัญหาเหล่านี้  การติดตั้งเสาอากาศของเครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader) ไม่ควรที่จะติดตั้งในลักษณะหันหน้าเข้าหากันโดยตรง  หากจำเป็นต้องหันเสาอากาศเข้าหากัน  จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องตั้งเสาอากาศทั้งสองให้ห่างกันพอสมควร   เพื่อที่จะให้คลื่นวิทยุของเสาทั้งสองไม่รบกวนกัน

นอกเหนือจากวิธีที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว  สามารถเลือกใช้วิธี  Division Multiple Access (TDMA)  ด้วยวิธีนี้เสาอากาศทั้งสองจะทำงานไม่พร้อมกัน  แต่วิธีนี้อาจจะเกิดปัญหาที่ว่า  อาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag)  หนึ่งตัวอาจจะถูกอ่านมากกว่าหนึ่งครั้ง  ด้วยเครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader) คนละตัว  ดังนั้นจำเป็นอย่างยิ่งจะต้องระบบซอฟท์แวร์ที่ทำการกรองเฉพาะ Tagที่สนใจ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการอ่านซ้ำ

คอนโทรลเลอร์ (Controller)

คอนโทรลเลอร์เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการควบคุมการติดต่อสื่อสารระหว่างอุปกรณ์ภายนอกกับเครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader)  ยกตัวอย่างเช่น  การพิมพ์เอกสารผ่านเครื่องพิมพ์  คอมพิวเตอร์จำเป็นต้องมีระบบซอฟท์แวร์ที่ติดตั้งในเครื่องคอมพิวเตอร์  เพื่อการพิมพ์เอกสาร  ลักษณะเดียวกัน  หากต้องการนำข้อมูลออกจากเครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader)  คอมพิวเตอร์ก็จำเป็นต้องมีระบบ Controller

ระบบเซ็นเซอร์ (Annunciator หรือ Actuator)

จากที่กล่าวมาในข้างต้น  เครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader) ไม่จำเป็นต้องเปิดทำงานตลอดเวลา  เครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader) สามารถที่จะถูกตั้งให้เปิดและปิดทำงานได้ตามที่ต้องการ  การที่จะเปิดหรือปิดทำงานนั้น  อุปกรณ์ที่เรียกว่า  เซ็นเซอร์จะเข้ามามีบทบาทในส่วนนี้  เซ็นเซอร์จะทำหน้าที่เปิดและปิดเครื่องอ่านเมื่อได้รับสัญญาณจากภายนอก  สัญญาณที่เข้ามานั้นมีสองลักษณะ คือ  Annunciator  และ  Actuator   สัญญาณที่เป็น Annunciator จะเป็นสัญญานที่เป็นระบบอิเลกทรอนิคส์  เช่น  เสียงเตือน  สัญญาณไฟ  เป็นต้น  สำหรับสัญญานที่เป็น Actuator นั้นเป็นสัญญานที่เป็นสัญญานด้านกลไกต่าง ๆ เช่น  ประตูเปิดหรือปิด  หรือสัญญานจากระบบ PLC

ระบบ Host และระบบซอฟท์แวร์

ระบบ  Host  และระบบซอฟท์แวร์จะรวมถึงระบบต่าง ๆ ทั้งฮาร์ดแวร์  และซอฟท์แวร์ที่แยกออกจากอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ของอาร์เอฟไอดี (RFID) ระบบส่วนนี้จะประกอบด้วย

·         ระบบ Edge interface  ส่วนนี้จะเป็นส่วนที่ต่อเชื่อมระบบทั้งหมดเข้ากับฮาร์ดแวร์อาร์เอฟไอดี (RFID)   หน้าที่หลักของส่วนนี้คือ  รับข้อมูลจากเครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี  (RFID Reader) ควบคุมการทำงานของเครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader)   และเชื่อมโยงเครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader) กับอุปกรณ์ภายนอก หรือการต่อเชื่อมกับอุปกรณ์ภายนอกโดยตรงไม่ต้องผ่านเครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader)  เช่น เซนเซอร์ ต่าง ๆ  ระบบนี้จะใกล้ชิดกับเครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader) เป็นอย่างมาก  นอกเหนือจากหน้าที่ที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว  ระบบนี้อาจมีหน้าที่เพิ่มเติมอีกด้วย  ได้แก่

·         กรองข้อมูลสำหรือการอ่านซ้ำจากเครื่องอ่านอาร์เอฟไอดีหลายเครื่อง

·         จัดให้มีการตั้งระบบอัตโนมัติเมื่อได้รับข้อมูลจากเซนเซอร์ภายนอก

·         จัดระบบงานที่ซับซ้อนเช่น  การรวบรวม  หรือการเลือกส่งข้อมูลจากอาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag)  ไปสู่ระบบทั้งหลาย

·         การบริหารและจัดการเครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader)

·         ระบบ Middleware  ระบบ Middleware เป็นระบบที่ต่อเชื่อมระหว่าง  Edge interface  และ ระบบซอฟท์แวร์ Back-end interface.  หน้าที่ของระบบ  Middlewareจะประกอบด้วย

·         การจัดแบ่งข้อมูลระหว่างจากภายในและภายนอกระบบ

·         การบริหารข้อมูลของระบบอาร์เอฟไอดี (RFID) อย่างมีประสิทธิภาพ

·         ทำหน้าที่ในการกลั่นกรองข้อมูลเพื่อนำไปปฏิบัติการ

·         จัดการระบบเพื่อให้สามารถใช้งานได้กับระบบซอฟท์แวร์ในการใช้งาน

·         ระบบการต่อเชื่อมกับซอฟท์แวร์ Enterpriseback-end  เป็นส่วนที่ใช้สำหรับการเชื่อมต่อกับระบบ middleware กับซอฟท์แวร์ enterprise back-end.  ส่วนนี้เป็นส่วนสำคัญในการปรับระบบเชื่อมกับกระบวนการจัดการ (Business process)  สาเหตุที่ไม่สามารถเชื่อมต่อ  Middle ware  กับซอฟท์แวร์สำเร็จรูปได้  เนื่องจาก  ระบบ middleware ส่วนใหญ่เป็นซอฟท์แวร์ที่สำเร็จรูป  ดังนั้นการนำไปใช้งานจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ต้องมีการปรับเปลี่ยนแก้ไข   เพื่อที่จะให้การเชื่อมต่อข้อมูลระหว่างระบบ Middleware กับซอฟท์แวร์ enterprise back endเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ  ในปัจจุบันมีระบบซอฟท์แวร์ในการปฏิบัติการจำนวนมากที่มีการพัฒนาระบบเชื่อมต่อนี้ไว้ในโปรแกรมที่พัฒนาขึ้น 

·         ระบบซอฟท์แวร์ Enterprise  Back End  ประกอบด้วยระบบซอฟท์แวร์ที่ใช้ในการปฏิบัติการทั้งหมด   ซึ่งส่วนนี้จะเป็นส่วนที่เก็บข้อมูล  และกระบวนการในการปฏิบัติงานทั้งหมด  ในแง่ของระบบอาร์เอฟไอดี (RFID) ระบบซอฟท์แวร์ส่วนนี้  จะเป็นส่วนที่ฐานข้อมูลสำหรับอาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag)  แต่ละอาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag)  ที่ระบบ  Middleware  ได้รับข้อมูล  และเพื่อปฏิบัติการต่าง ๆ

ระบบโครงสร้างการติดต่อสื่อสาร

ระบบนี้จะเป็นส่วนที่ใช้ในการต่อเชื่อมองค์ประกอบต่าง ๆ ของระบบอาร์เอฟไอดี (RFID) เข้าด้วยกัน  ซึ่งการเชื่อมต่ออาจจะเป็นระบบสายหรือไร้สายก็ได้  ในแง่ของระบบสายอาจจะเป็นการเชื่อมต่อด้วย  Serial ระหว่างเครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี  (RFID Reader) และคอมพิวเตอร์    ในกรณีของการเชื่อมต่อด้วยระบบไร้สาย  อาจจะเป็นระบบง่าย ๆ เช่นระบบ  Bluetooth  หรือ ระบบไร้สายอย่างกว้างขึ้นเช่น  ระบบ  WAN   หรือระบบดาวเทียม  เป็นต้น

สรุป

ระบบอาร์เอฟไอดี (RFID) ประกอบด้วยส่วนต่าง ๆ หลายส่วน  โดยเริ่มตั้งแต่อุปกรณ์ที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีอาร์เอฟไอดี (RFID) โดยเฉพาะ ได้แก่  อาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag)  และเครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader) แต่องค์ประกอบสองส่วนนี้มิได้ทำให้ระบบอาร์เอฟไอดี (RFID) สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ  ในการนำไปใช้จำเป็นอย่างยิ่งต้องมีอุปกรณ์  ได้แก่  อุปกรณ์ด้าน Networkต่าง ๆ  รวมถึงระบบซอฟท์แวร์ต่าง ๆ  เช่น   Middle ware   ERP software  เป็นต้น  ในการนำระบบทั้งหมดสามารถใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ  จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องทำให้อุปกรณ์ต่าง ๆ สอดคล้องกันอย่างดี 

โครงสร้างของเครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader)

เครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader)

เครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader) เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการอ่านและเขียนข้อมูลลงไปในอาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag)   ในการเขียนข้อมูลนั้นสามารถเรียกว่า  เป็นกระบวนการเริ่มตั้งค่าในอาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag)  เรียกว่า  Commissioning Tag  ซึ่งเป็นการเชื่อมโยงอาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag)  กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ขณะเดียวกันการเขียนก็สามารถใช้เป็นการลบค่าได้เหมือนกัน  หรือการบันทึกข้อมูลใหม่ลงไปในอาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag) ซึ่งเรียกว่า   Decommissioning tag  

เครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader) เป็นหัวใจหลักของอุปกรณ์อาร์เอฟไอดี (RFID)  และในเครื่องอ่านอาร์เอฟไอดีประกอบด้วย

·         ส่วนการส่งข้อมูล  ส่วนนี้จะรับผิดชอบในการส่งสัญญาณจากเครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader)  และรับสัญญาณจากอาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag) ที่ส่งกลับให้กับเสาอากาศของเครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader)

·         ส่วนการรับข้อมูล  ส่วนนี้จะรับข้อมูลจากอาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag) หลังจากได้รับข้อมูลจากอาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag)  นี้แล้ว  ส่วนนี้จะส่งข้อมูลต่อไปให้แก่ส่วนไมโครโปรเซสเซอร์

·         ไมโครโปรเซสเซอร์  รับผิดชอบในการสื่อสารกันระหว่างอาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag) กับเครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader)  ส่วนนี้จะเป็นตัวแปลงโปรโตคอล  แปลงข้อมูล และทำการตรวจสอบหลังจากได้รับข้อมูลจากอาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag)    ส่วนนี้จะเป็นส่วนที่แปลงข้อมูลที่ได้รับเป็นข้อมูลดิจิตอลสัญญาณอะนาล๊อก  (Analog)  ยิ่งไปกว่านั้นไมโครโปรเซสเซอร์นี้ยังประกอบด้วย Logic ต่าง ๆ ในการกรองข้อมูลและอ่านข้อมูลจากอาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag)

·         ส่วนความจำ  ส่วนนี้ใช้ในการเก็บข้อมูล เช่น ข้อมูลจากอาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag)    ในการทำงานบางครั้ง  เมื่อส่วนที่ต่อเชื่อมระหว่างเครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader) และคอนโทรลเลอร์ (Controller)  หรือส่วนที่เป็นซอฟท์แวร์  มีปัญหาในการทำงาน  ส่วนที่ทำหน้าที่ในการเก็บความจำนี้จะทำให้ข้อมูลที่อ่านจากอาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag)  ไม่สูญหาย   การเก็บความจำนี้ขึ้นอยู่กับขนาดของหน่วยความจำ   อย่างไรก็ตามหน่วยความจำในเครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader) ก็มีขนาดจำกัด  หากระบบในเครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader) หยุดการทำงานเป็นเวลานาน  หน่วยความจำในเครื่องจำอาจจะไม่มากพอ  ทำให้ข้อมูลบางส่วนหายไปได้

·         ส่วนการรับและส่งออกข้อมูลจากอุปกรณ์ภายนอก  เช่น  การรับข้อมูลจากเซนเซอร์  เป็นต้น  ในความเป็นจริง  เครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader) ไม่จำเป็นต้องเปิดทำงานตลอดเวลา  เนื่องจากว่า อาร์เอฟไอดี (RFID Tag)  อาจจะเข้ามาในบริเวณเครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader) ไม่บ่อยเท่าที่ควร  ซึ่งลักษณะนี้หากเปิดเครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader) ไว้ตลอดเวลา  อาจจะเป็นการสิ้นเปลืองโดยใช่เหตุ  ดังนั้นการทำงานส่วนนี้ จะเป็นการเปิด/ปิดเครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader) เมื่อมีอาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag)  เข้ามาในเครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader)   ส่วนที่เป็นเซนเซอร์จะส่งข้อมูลไปกระตุ้นให้เครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader) ทำงาน  นอกจากนี้  ส่วนนี้ยังทำหน้าที่ในการส่งออกข้อมูลด้วย  การส่งออกข้อมูลสามารถที่จะกำหนดได้ให้ส่งข้อมูลออกตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ เช่น  การเปิดและปิดประตู เป็นต้น

·         อุปกรณ์คอนโทรลเลอร์  คอนโทรลเลอร์นี้เป็นส่วนที่ทำหน้าที่ในการติดต่อสื่อสาร  ระหว่างเครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader) กับคอมพิวเตอร์  หรืออุปกรณ์ต่อเชื่อมอื่น  นอกจากนั้น  ยังเป็นส่วนควบคุมการทำงานของเครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader)

·         ส่วนการสื่อสาร  ทำหน้าที่ควบคุมการติดต่อสื่อสารของเครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader) ส่วนนี้จะต่อเชื่อมระหว่างคอนโทรลเลอร์กับอุปกรณ์ภายนอก   อุปกรณ์ในการติดต่อสื่อสารนั้น อาจจะทำได้หลายรูปแบบเช่น  การสื่อสารแบบ  Serial  หรือ แบบ  Network เป็นต้น  ในการติดต่อกับอุปกรณ์ภายนอกได้  จะทำงานโดยผ่านการสั่งงานของคอนโทรลเลอร์  ซึ่งการติดต่อสื่อสารนั้น อาจจะเป็นการเก็บข้อมูล  การรับคำสั่ง  และส่งข้อมูลกลับ

·         ส่วนแหล่งพลังงาน  ส่วนนี้ทำหน้าที่ในการเป็นแหล่งพลังงานให้กับเครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader) โดยปกติส่วนนี้จะรับพลังงานจากภายนอก  และส่งผ่านเข้ามาเครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader) โดยผ่านส่วนแหล่งพลังงานนี้

ประเภทของเครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader)

ในการจำแนกประเภทของเครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader) สามารถแยกได้ตามการต่อเชื่อม   และการใช้งาน  หากแยกประเภทเครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader) ตามลักษณะการต่อเชื่อมสามารถแบ่งได้เป็น  2 แบบ คือ การต่อเชื่อมแบบ  Serial   และ Network  หากแยกประเภทของเครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader) ตามการใช้งาน  สามารถแยกเป็นเครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader) แบบติดตั้งอยู่กับที่  และเครื่องอ่านแบบมือถือ

1. การแบ่งแยกตามลักษณะการต่อเชื่อม

1.1. เครื่องอ่านอาร์เอฟไดี (RFID Reader) แบบ  Serial   เครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader) แบบ  Serial  นั้นติดต่อกับอุปกรณ์ภายนอกโดยผ่านทาง   Serial  ซึ่งปกติแล้วจะต่อเชื่อมโดยผ่าน  RS232 หรือ RS485  โดย   RS485 จะสื่อสารได้ในระยะที่ไกลกว่า   จุดดีของเครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader) ประเภทนี้คือ การสื่อสารสามารถเชื่อถือไว้มากกว่าเครื่องอ่านแบบ  Network    ทำให้เครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader) ประเภทนี้จะนำมาใช้งานพื่อทีจะลดปัญหาในการสื่อสาร  แต่เครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader) ประเภทนี้ก็มีจุดเสีย  คือ  ความยาวของสายเคเบิล  นอกเหนือจากนั้น   Serial Port มีค่อนข้างจำกัด  ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีอุปกรณ์ต่อเชื่อมมากตามไปด้วย   ปัญหาต่อมาคือปัญหาการบำรุงรักษา  การบำรุงรักษาเครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader) ประเภทนี้จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องให้เจ้าหน้าที่เข้าไปดูแลเครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader) ทีละเครื่อง  นอกเหนือจากปัญหาเหล่านี้แล้ว  ซึ่งปัจจัยเหล่านี้อาจมีผลทำให้ค่าใช้จ่ายในการดูและรักษาสูงขึ้น

1.2. เครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader) แบบ Network  นั้นติดต่อกับคอมพิวเตอร์ผ่านระบบสาย  หรือไร้สาย  จุดเด่นของเครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader) ประเภทนี้  คือ ไม่จำเป็นต้องขึ้นอยู่กับความยาวของสายเคเบิ้ล  ที่ใช้ในการต่อเชื่อมกับคอมพิวเตอร์  ในการ  Update  firmware  สามารถทำได้ง่าย  ไม่จำเป็นต้องไปตรวจที่เครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader) เหมือนเครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader) แบบ  Serial  ประเด็นนี้ทำให้การบำรุงรักษาและค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาต่ำ  ข้อเสียของเครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader) ประเภทนี้  คือ  การต่อเชื่อมมีความน่าเชื่อถือที่ต่ำกว่าเครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader) แบบ Serial  แต่อย่างไรก็ตามหากระบบโครงสร้างเครือข่ายมีปัญหา  ซึ่งอาจมีผลให้เครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader) มีปัญหาไปด้วย อย่างไรก็ตาม  เครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader) ประเภทนี้จะมีหน่วยความจำในตัว  ซึ่งสามารถแก้ปัญหาของเครือข่ายได้ในบางส่วน

2.   การแบ่งแยกตามลักษณะการใช้งาน

2.1. เครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader) แบบติดตั้งอยู่กับที่  เครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader) ประเภทนี้จะติดตั้งไว้ที่ใดที่หนึ่ง  เช่นติดไว้ที่กำแพง หรือติดอยู่บนรถ  ในบริเวณที่กำหนดไว้ให้เป็นอาณาเขตของเครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader)   ราคาของเครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader) ประเภทนี้จะถูกกว่าเครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader) แบบมือถือ  ทำให้เครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader) แบบนี้มีการใช้งานที่แพร่หลายกว่า   เครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader) ประเภทนี้มีหลากหลายชนิด  ตัวอย่างเช่น   Agile Reader  ซึ่งเป็นเครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader) ที่สามารถใช้ได้หลายคลื่น  และสามารถใช้ได้กับอาร์เอฟไอดี (RFID Tag) หลายประเภท  นอกจากนี้ยังมีเครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader) ที่สามารถพิมพ์บาร์โค้ด  และบันทึกข้อมูลลงไปในอาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag) ได้ในขณะเดียวกัน   เครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader) ประเภทนี้สามารถทำงานได้ในสองลักษณะคือ   Autonomous  และ    Interactive

ในการทำงานแบบ   Autonomous  เครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader) จะอ่านอาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag)  ตลอดเวลา  ทุก ๆ ครั้งที่อาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag)  ถูกอ่านจะเก็บข้อมูลไว้ในรายการที่เรียกว่า  Tag List   รายการที่อยู่ใน  Tag List  จะสอดคล้องกับเวลาในการอ่าน  หากอาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag)  ที่กำหนดไว้ไม่ถูกอ่านในเวลาที่  ก็จะถูกลบออกไปจากรายการ  ในรายการ  Tag list  จะประกอบด้วย

o    รหัสของอาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag)

o    เวลาในการอ่าน

o    อาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag)  ถูกอ่านบ่อยแค่ไหน

o    เสาอาการที่ใช้ในการอ่านอาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag)

o    ชื่อของเครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader)

สำหรับการทำงานแบบ   Interactive  เครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader) ประเภทนี้จะทำงานตามคำสั่งที่ได้รับจากคอมพิวเตอร์ส่วนกลาง  หรือจากผู้ใช้  หลังจากเครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader) ทำงานตามคำสั่งเป็นที่เรียบร้อยแล้ว  เครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader) จะหยุดรอคำสั่งต่อไป

2.2  เครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader) แบบมือถือ  เครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader) ประเภทนี้จะมีเสาอากาศฝังอยู่ในตัว  ทำให้ระยะการอ่านค่อนข้างสั้นเมื่อเปรียบเทียบกับเครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader) แบบแรกที่กล่าวมา เครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader) ประเภทนี้มีราคาค่อนข้างสูง

โครงสร้างของระบบอาร์เอฟไอดี (RFID)

ระบบอาร์เอฟไอดี (RFID)  เป็นระบบที่ประกอบส่วนต่าง ๆ เข้าด้วยกัน ซึ่งสามารถที่จะสรุปได้ดังต่อไปนี้

o       อาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag) เป็นส่วนประกอบหลักของระบบอาร์เอฟไอดี (RFID System)

o       เครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader) เป็นส่วนประกอบหลักอีกส่วนหนึ่งของระบบอาร์เอฟไอดี (RFID System)

o       เสาอากาศของเครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี  (RFID Reader) ในปัจจุบันเครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader) บางรุ่นมีการสร้างเสาอากาศรวมในตัวเครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader)

o       กล่องควบคุม   ส่วนประกอบหลักอีกส่วนหนึ่งในระบบอาร์เอฟไอดี (RFID System)  ในปัจจุบันกล่องควบคุมนี้จะถูกสร้างรวมเข้าไปอยู่กับเครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader)

o       เซ็นเซอร์  หรืออุปกรณ์แสดงผล  อุปกรณ์นี้เป็นอุปกรณ์ส่วนเสริมของระบบ

o       ระบบซอฟท์แวร์  ในทางทฤษณีระบบอาร์เอฟไอดี (RFID) สามารถทำงานได้โดยไม่จำเป็นต้องมีระบบส่วนนี้  แต่ในทางปฏิบัติแล้ว  ระบบอาร์เอฟไอดี (RFID) แทบจะไร้ความหมาย ถ้าไม่มีระบบส่วนนี้

o       โครงสร้างการติดต่อสื่อสาร   ส่วนนี้เป็นองค์ประกอบหลักของระบบอาร์เอฟไอดี (RFID) ซึ่งอาจจะเป็นโครงสร้างสื่อสารแบบสายหรือไร้สายก็ได้  โครงสร้างการสื่อสารนี้เป็นส่วนที่จะเชื่อมต่อส่วนประกอบต่าง ๆ ที่กล่าวมาข้างต้นเข้าด้วยกัน เพื่อให้ส่วนประกอบต่าง ๆ สามารถติดต่อสื่อสารกันได้

  1. อาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag)

อาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID  Tag) เป็นอุปกรณ์ที่ใช้เก็บข้อมูล  และส่งข้อมูลไปให้เครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader) โดยผ่านคลื่นวิทยุ  อาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag)  สามารถแบ่งเป็นประเภทต่าง ๆ ได้ดังต่อไปนี้

·         อาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag)  แบบ  Passive

·         อาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag)  แบบ Active

·         อาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag)  แบบ  Semi-active/Semi-passive

อาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag)  แบบ  Passive

อาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID  Tag) ชนิด  Passive  ไม่มีแหล่งพลังงานในตัวเอง  ในการส่งข้อมูลนั้น  อาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag)  ประเภทนี้จะอาศัยพลังงานจากเครื่องอ่านอาร์อ่านเอฟไอดี (RFID Reader)  เพื่อให้ตนเองมีพลังงานในการส่งข้อมูลกลับไปให้กับเครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader)  เนื่องจากอาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag)  ประเภทนี้ไม่มีแผงวงจรใดใด  และพลังงานใด  ดังนั้นจึงสามารถใช้งานได้เป็นระยะเวลานานไม่มีการหมดอายุ   โดยทั่วไปอาร์เอฟไอดี (RFID Tag)  ลักษณะนี้ เหมาะสมกับการใช้งานที่อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่เอื้ออำนวยสำหรับการอ่าน ข้อมูลด้วยระบบบาร์โค้ด  เช่น  ในอุณหภูมิสูง 2040C  หรือสภาพน้ำกรด

ในการส่งข้อมูลระหว่างอาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID  Tag) ชนิดนี้กับเครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader)  เครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader) จะเป็นส่วนที่เริ่มส่งข้อมูลก่อน  เมื่ออาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag)  ได้รับข้อมูลจากเครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader)  ก็จะส่งข้อมูลกลับไป  Passive RFID Tag จะมีขนาดเล็ก   และราคาถูกว่า  Active RFID Tag   โดยหลัก  Passive  RFID Tag จะประกอบด้วย  ไมโครชิป  และเสาอากาศ

ไมโครชิป จะประกอบด้วย ส่วนสำคัญต่าง ๆ ดังต่อไปนี้ ส่วนแรกคือ ส่วนที่เป็นแหล่งพลังงาน ซึ่งมีหน้าที่ในการแปลงไฟแบบ AC จากเสาอากาศของเครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader)  มาเป็นไฟแบบ DC เพื่อใช้งานในส่วนต่าง ๆ ของอาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag)   ส่วนที่สองคือส่วนที่ทำหน้าที่ในการแปลงสัญญาณ ที่เรียกว่า  Modulator  ทำหน้าที่แปลงสัญญาณจากเครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader)  และส่งข้อมูลกลับให้เครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี  (RFID Reader) อีกส่วนคือส่วนที่ทำหน้าที่ในการกำหนด  Protocol  ในการสื่อสารข้อมูลระหว่างเครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader) กับอาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag) เรียกว่า  ส่วน  Logic  และท้ายที่สุดคือส่วนที่เป็นหน่วยความจำ  เป็นส่วนที่ใช้สำหรับเก็บข้อมูล  ซึ่งโดยปกติจะมีการเก็บข้อมูลเป็น  Block  

เสาอากาศเป็นส่วนที่ใช้การนำพลังงาน (ไฟฟ้า) จากเครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader) เพื่อให้อาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag) มีพลังงานในการส่งและรับข้อมูลจากเครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี  (RFID Reader) เสาอากาศของอาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag)  มีขนาดใหญ่กว่าชิปอย่างมาก  ดังนั้นจะเห็นได้ว่า  การออกแบบเสาอากาศของอาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag)  เป็นปัจจัยสำคัญมาก เนื่องจากมีผลต่อระยะการอ่าน  และมุมในการอ่าน  ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการออกแบบเสาอากาศมีหลายปัจจัย  ตัวอย่างเช่น

·         ระยะการอ่านระหว่างอาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag)  กับเครื่องอ่าน (RFID Reader)

·         มุมในการอ่านระหว่างอาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag)  กับเครื่องอ่าน (RFID Reader)

·         วัสดุที่ใช้ในการทำ

·         ความเร็วในการอ่าน

·         สภาพแวดล้อมในการอ่าน

·         ลักษณะเสาอากาศของเครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader)

อาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag)  แบบ  Active

อาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag) ชนิด Active   ประกอบด้วยส่วนต่าง ๆ ดังต่อไปนี้

·         ไมโครชิป

·         เสาอากาศ

·         แหล่งพลังงาน  หน้าที่หลักของอุปกรณ์นี้คือ  การจ่ายพลังงานให้แก่อุปกรณ์อิเลคทรอนิค  และการส่งข้อมูล  โดยส่วนใหญ่  Active RFID Tag  จะมีอายุการทำงานประมาณ 2 ถีง  7 ปี ขึ้นอยู่กับประเภทของแบตตอรี่   ปัจจัยหนึ่งที่มีผลต่อการอายุการใช้งานของแบตตอรี่คือ  ความถี่ในการส่งข้อมูล  หากความถี่ต่ำในการส่งข้อมูลนาน Active RFID  Tag นั้นก็จะมีอายุในการใช้งานนาน

·         อุปกรณ์อิเลคทอรนิค  โดยส่วนใหญ่หน้าที่ของอุปกรณ์ส่วนนี้จะใช้งานเหมือน  Transmitter  หรือทำหน้าที่อื่น ๆ เพิ่มเติมเช่น การคำนวน หรือ แสดงค่าต่าง ๆ เช่น เซนเซอร์  เป็นต้น  ทำให้ขอบเขตการทำงานของ Active RFID  Tag  หลากหลายมากขึ้น

ในการติดต่อกันระหว่าง Active RFID  Tag  กับเครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader) สำหรับ  Active RFID Tag  ประเภทนี้  Active RFID Tag  จะเป็นส่วนที่เริ่มการติดต่อก่อน  เนื่องจาก Active RFID Tag  ประเภทนี้มีแหล่งพลังงานของตนเอง  ดังนั้น Active RFID Tag  ประเภทนี้จึงไม่ต้องอาศัยพลังงานจากเครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader) ในการส่งข้อมูล  ยังมี Active RFID Tag  อีกประเภทที่สามารถส่งข้อมูลได้  โดยไม่จำเป็นต้องเข้าอยู่ในระยะของเครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader) เรียกว่า  Transmitter  Tag ประเภทนี้สามารถส่งข้อมูลให้กับเครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader) ได้ไกลถึง 30 เมตร  Active RFID Tag  อีกประเภทที่จะหยุดการทำงาน  (sleep mode) หรือทำงานโดยใช้พลังงานน้อยมาก  เมื่อไม่อยู่ในระยะของเครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader) Active RFID Tag  ประเภทนี้  เครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader) จะทำหน้าที่ในการกระตุ้นให้อาร์เอฟไอดีแท๊ก  (RFID Tag)  ทำงานเมื่อเข้ามาอยู่ในระยะที่เครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader) สามารถอ่านข้อมูลได้  การทำงานในลักษณะนี้ทำให้ อาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag)  ประเภทนี้มีอายุการใช้งานกว่าอาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID  Tag)  ที่เป็นลักษณะ  Transmitter   

อาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag)  แบบ  Semi Active

อาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID  Tag) ชนิด  Semi Active ในบางกรณีอาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag)  ลักษณะนี้จะเรียกว่า  Battery-Assisted Tag เป็น อาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag)  ที่มีแหล่งพลังงานเป็นของตนเอง  และอุปกรณ์อิเลกทรอนิคส์ในการทำงาน  แหล่งพลังงานดังกล่าวจะทำหน้าที่ให้พลังงานแก่อาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag)  ซึ่งมีลักษณะเหมือนกับ Active tag  

ในการส่งข้อมูลนั้นอาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag)  ประเภทนี้จะอาศัยพลังงานจากเครื่องอ่านอาร์เอฟไอดี (RFID Reader)  มีการนำอาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag)  ประเภทนี้แทน  Passive RFID Tag  เนื่องจากว่า  อาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag)  ประเภทนี้ สามารถส่งข้อมูลได้ไกลกว่า  เพราะการส่งข้อมูลไม่ต้องรอให้เกิดการกระตุ้นการทำงานของขดลวดทองแดงเหมือน  Passive RFID Tag   ถึงแม้ว่า วัสดุที่ติดอาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID  Tag)  ประเภทนี้จะเคลื่อนที่ด้วยความเร็ว  วัสดุที่มีผลต่อคลื่นวิทยุ  การส่งข้อมูลก็ยังสามารถทำงานได้ดี

ในการแบ่งประเภทของอาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag) ยังสามารถที่จะแบ่งได้ตามความสามารถในการบันทึกข้อมูล  ซึ่งสามารถแบ่งได้เป็น  3 ประเภท คือ

1.        ประเภทที่อ่านข้อมูลได้อย่างเดียว (RO)

2.        ประเภทที่บันทึกข้อมูลได้เพียงครั้ง  และสามาถอ่านข้อมูลได้ตลอด (WORM)

3.        ประเภทที่สามารถบันทึกและอ่านข้อมูลได้ตลอด (RW)

อาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag) อ่านได้อย่างเดียว (RO)

อาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag)  ประเภทนี้จะถูกโปรแกรมเพียงครั้งเดียว  ข้อมูลนั้นจะบันทึกลงไปในอาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag)  ระหว่างการผลิต  โดยการบันทึกข้อมูลนั้นจะบันทึกลงไปในไมโครชิป   เมื่อบันทึกข้อมูลนี้ลงไปแล้ว  ข้อมูลไม่สามารถที่จะเขียนข้อมูลอื่น ๆ ลงไปได้    อาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag) ประเภทนี้  ในบางครั้งก็จะเรียกว่า อาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag) ที่โปรแกรมด้วยโรงงาน (Factory Programme) อาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag) ประเภทนี้ใช้ได้ดีสำหรับนำไปใช้งานที่มีขนาดเล็กไม่มีความซับซ้อน  แต่ไม่เหมาะสำหรับการใช้งานที่มีความซับซ้อนมาก

อาร์เอฟไอดีแท๊ก้ RFID Tagที่บันทึกข้อมูลเพียงครั้งเดียว  และสามารถอ่านข้อมูลได้ตลอด (WORM)

อาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag) ประเภทนี้จะถูกโปรแกรมหรือเขียนบันทึกข้อมูลเพียงครั้งเดียว  ซึ่งการบันทึกข้อมูลนี้จะบันทึกโดยผู้ใช้  เมื่อต้องการที่จะใช้อาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag) นั้น  ถ้าอาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag)  ถูกเขียนโปรแกรมมากกว่าจำนวนที่กำหนดไว้   อาร์ฺเอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag)  ประเภทนี้อาจจะเสียหายได้   อาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag) ประเภทนี้เรียกว่า  Field Programmable

อาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag) ที่สามารถอ่านและเบียนได้ตลอด (RW)

อาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag) ประเภทนี้จะถูกบันทึกซ้ำได้ตลอด  โดยปกติแล้ว  อาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag)  นี้สามารถที่บันทึกซ้ำได้ประมาณ 10,000 ถึง 100,000 ครั้ง หรือมากกว่า  ความสามารถในการบันทึกซ้ำได้ตลอดลักษณะนี้  ทำให้อาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag) ประเภทนี้มีประโยชน์อย่างมาก   อาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag) ประเภทนี้มีหน่วยความจำที่เรียกว่า   Flash  ที่ใช้ในการบันทึกข้อมูล  ดังนั้นอาร์เอฟไอดีแท๊ก (RFID Tag)  ประเภทนี้จะเรียกว่า   Field programmable  หรือ reprogrammable  Tag  ประเภทนี้

คลื่นวิทยุมีกี่ประเภท อะไรบ้าง

1. Low Frequency (LF)

ความถี่นี้จะอยู่ในช่วง 30 Khz  ถึง 300 Khz.  ในเทคโนโลยีอาร์เอฟไอดี (RFID) จะใช้คลื่น 125 KHz ถึง 134 KHz  ความสามารถในการส่งข้อมูลในคลื่นนี้ค่อนข้างช้า  แต่สามารถใช้งานได้ดีในวัสดุที่เป็นของเหลว  หรือโลหะ  จะเห็นได้จากตารางข้างต้น  วัสดุที่เป็นโลหะ หรือน้ำจะมีลักษณะเป็น   RF-friendly ต่อคลื่นความถี่นี้

2. High Frequency (HF)

ความถี่นี้จะอยู่ในช่วง  3 MHz ถึง 30 MHz  ความถี่  13.56 Mhzจะเป็นความถี่ที่มีการใช้งานมากทีสุดในเทคโนโลยีอาร์เอฟไอดี (RFID)   เหมือนเช่นกับความถี่ LF ความถี่นี้จะใช้กับ  Passive tag  เป็นส่วนมาก  ความถี่นี้ใช้งานได้ปานกลางในวัสดุที่เป็นโลหะและของเหลว  และมีการใช้งานอย่างแพร่หลายในโรงพยาบาล  เพราะความถี่นี้ไม่รบกวนอุปกรณ์ที่โรงพยาบาลใช้งานอยู่ในปัจจุบัน

3. Ultra High Frequency (UHF)

ความถี่นี้จะอยู่ในช่วง  300 MHz ถึง 1 GHz.  โดยปกตินี้ความถี่ที่นิยมจะใช้ในความถี่ช่วงนี้คือ 915 MHz ในอเมริกา  และ 868 MHz ในยุโรป  ส่วนประเทศไทยความถี่ที่อนุญาตให้ใช้คือ  920-925 Mhz  

ความถี่ในช่วงนี้สามารถที่จะส่งข้อมูลได้ค่อนข้างเร็ว  แต่จะใช้งานไม่ดีในวัสดุที่เป็นโลหะ และของเหลว  (ยกเว้น Active RFID)  อย่างไรก็ตาม  ความถี่นี้ได้มีการนำมาใช้อย่างแพร่หลาย  เพราะว่ามีหลายหน่วยงานนำคลื่นความถี่มาใช้  หรือบังคับให้นำความถี่นี้มาใช้งาน   เช่น  กระทรวงกลาโหมของสหรัฐอเมริกา

4. Microwave Frequency

ความถี่นี้คือความถี่ที่สูงกว่า 1 GHzขึ้นไป  ช่วงความถี่ที่นิยมนำมาใช้ในเทคโนโลยีอาร์เอฟไอดี (RFID) คือ 2.45 GHz และ 5.8 GHz  แต่ความถี่ 2.45 GHzจะได้รับความนิยมมากว่า  ความถี่นี้สามารถนำมาใช้ทั้ง   Passive RFID Tag และ Active RFID Tagความถี่นี้สามารถส่งข้อมูลได้เร็ว  แต่ทำงานได้แย่มากเมื่อไปใช้กับวัสดุที่เป็นโลหะและของเหลว

โดยสรุป  ลักษณะการใช้งานและคุณสมบัติของคลื่นความถี่แต่ละประเภทสามารถที่จะสรุปได้ดังตารางด้านล้างนี้

RFID (อาร์เอฟไอดี) คืออะไร

เทคโนโลยีอาร์เอฟไอดี (RFID – Radio frequency identification) คือ เทคโนโลยีหนึ่งที่ใช้ในการระบุสิ่งต่าง ๆ  โดยอาศัยคลื่นวิทยุ  ซึ่งต่างจากเทคโนโลยีอื่น ๆ  เช่น บาร์โค้ดที่อาศัยคลื่นแสง  หรือการสแกนลายนิ้วมือ  เป็นต้น  ในส่วนนี้จะอธิบายให้เข้าใจถึงหลักการของเทคโนโลยีอาร์เอฟไอดี (RFID Technology) และแนวคิดต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีนี้

คลื่นวิทยุกับเทคโนโลยีอาร์เอฟไอดี (Radio Frequency and RFID Technology)

จากที่กล่าวในขั้นต้นว่า  เทคโนโลยีอาร์เอฟไอดี (RFID) อาศัยคลื่นวิทยุในการทำงาน  ดังนั้นเมื่อพูดถึงเทคโนโลยีอาร์เอฟไอดี (RFID)  สิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้ที่จะต้องกล่าวถึง  คือคลื่นวิทยุ

คลื่นวิทยุ  (Radio frequency) เป็นคลื่น Electromagnetic ประเภทหนึ่ง  ที่มีความยาวคลื่นระหว่าง 0.1  ซม. ถึง 1,000 กม. หรืออยู่ในช่วงความถี่ระหว่าง 30 Hzและ 300 GHz    เมื่อเป็นคลื่นวิทยุจะเห็นได้ว่า  วัสดุที่นำใช้กับคลื่นวิทยุย่อมมีผลต่อการใช้งานอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้  ในวัสดุประเภทที่ที่คลื่นวิทยุสามารถผ่านได้สะดวกโดยไม่มีการสูญเสียพลังงาน ใด  วัสดุเหล่านี้เรียกว่า  RF-lucent  หรือ RF-friendly  หากนำเทคโนโลยีอาร์เอฟไอดี (RFID Technology) มาใช้กับวัสดุเหล่านี้จะไม่มีผลเสียต่อการใช้งาน  อย่างไรก็ตามยังมีวัสดุบางประเภทที่เป็นอุปสรรคในการนำเทคโนโลยีอาร์เอฟไอดี (RFID Technology)  มาใช้งาน  วัสดุประเภทแรกเรียกว่า RF-opaque  วัสดุประเภทนี้จะหักเหคลื่นวิทยุ  หรือทำให้คลื่นวิทยุกระจัดกระจายออกไป  ส่วนวัสดุอีกประเภทเรียกว่า  RF-absorbent  คลื่นวิทยุสามารถที่จะผ่านวัสดุประเภทนี้ได้  แต่อย่างไรก็ตามคลื่นที่ผ่านมานั้นจะถูกดูดซับไว้หมด  หรือต้องสูญเสียพลังงานมากในการที่จะทะลุผ่านได้

ถึงแม้ว่า  วัสดุแต่ละประเภทจะมีผลต่อคลื่นวิทยุ  อย่างไรก็ตามวัสดุประเภทหนึ่งจะมีผลคลื่นวิทยุแต่ละช่วงความถี่ที่แตกต่าง กัน  กล่าวคือ  วัสดุนั้นอาจจะมีลักษณะเป็น  RF-lucent  ในคลื่นความถี่หนึ่ง  ในขณะที่วัสดุเดียวกันนี้อาจจะเป็น  RF-opaque หรือRF-absorbent ในคลื่นความถี่ในช่วงอื่นก็ได้   ดังตัวอย่างต่อไปนี้

วัสดุLFHFUHFMicrowave
ผ้าRF-lucentRF-lucentRF-lucentRF-lucent
ไม้แห้งRF-lucentRF-lucentRF-lucentRF-absorbent
GraphiteRF-lucentRF-lucentRF-opaqueRF-opaque
ของเหลว (แล้วแต่ประเภท)RF-lucentRF-lucentRF-absorbentRF-absorbent
โลหะRF-lucentRF-lucentRF-opaqueRF-opaque
น้ำมันเครื่องRF-lucentRF-lucentRF-lucentRF-lucent
วัสดุที่ประกอบด้วยกระดาษRF-lucentRF-lucentRF-lucentRF-lucent
พลาสติก (แล้วแต่ประเภท)RF-lucentRF-lucentRF-lucentRF-lucent
แชมพูRF-lucentRF-lucentRF-absorbentRF-absorbent
น้ำRF-lucentRF-lucentRF-absorbentRF-absorbent
ไม้ชื้นRF-lucentRF-lucentRF-absorbentRF-absorbent

จากที่กล่าวในขั้นต้นว่า เทคโนโลยีอาร์เอฟไอดี (RFID Technology) ใช้คลื่นวิทยุ  (Radio frequency) ในการทำงาน  และคลื่นวิทยุที่ใช้ในเทคโนโลยีอาร์เอไอดี (RFID) จะอยู่ในช่วงความถี่ระหว่าง 30 Hzและ 300 GHz  จากช่วงความถี่ดังกล่าวทำให้สามารถแบ่งคลื่นวิทยุได้เป็น 4 ประเภท โดยจะกล่าวถึงรายละเอียดในบทถัดไปครับ  

อย่างไรก็ตาม  ปัจจบันเทคโนโลยีอาร์เอฟไอดี (RFID) ได้มีการพัฒนาขึ้นไปมาก   โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เทคโนโลยี  UHF   RFID Tag สำหรับคลื่นความถี่ UHF  ได้มีการพัฒนาให้สามารถทำงานบนพื้นผิวโลหะหรือคววมชื้นได้มากขึ้น